วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เพลง ปล่อย อ้น ธวัชชัย ชูเหมือน

ขอขอบคุณวีดีโอจาก : นครออนไลน์

○เนื้อเพลง○

ใครจะชิงใครจะชังมันก็ช่างหัวเขา แค่ตัวเรารู้เราช่างเค้าประไร

ใครจะชักใครจะแช่งใครจะแกล้งใครจะหยัน ก็ให้ช่างหัวมันก็ให้ปล่อยเค้าไป

ใครจะชมใครจะเชิดว่าประเสริฐเลิศหรู ตัวเรารู้เราอยู่ปล่อยเค้าชมไป

ใครจะรักใครจะเกลียดใครจะเสียด ใครจะสีก็เรารู้ตัวดีปล่อยเค้าทำไป..



เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย เอาอะไรมากมายในความอนัตตา

โลภไปทำไมช่วงชิงแข่งขัน สุดท้ายเหมือนกันต้องไปป่าช้า

จะเอาอะไรแค่รักโลภโกรธหลง ไม่มีความมั่นคงบนกิเลสตัณหา

เกิดแก่เจ็บตายใยจะไปยึดมั่น สรรพสังขารล้วนอนิจจา

ปล่อยวางมันเสีย ทุกโขติณณา...

ใครจะเมินใครจะมองใยจะต้องไหวหวั่น ใครจะใส่ร้ายกันใยจะต้องสนใจ 

ใครจะดีใครจะเลวมันก็เรื่องของเขา ใครจะนินทาเราใยจะต้องทุกข์ใจ 

ใครจะล้อใครจะด่าใยจะต้องว่าตอบ ใครไม่สนใครไม่ชอบใยจะต้องใส่ใจ 

ใครจะคิดใส่ความใยจะต้องวุ่นจิต หากตัวเราไม่ผิดจะไปคิดทำไม...

เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย ประดุจดังต้นไม้ล้มทับโลกา

หมดลมเมื่อไรหาประโยชน์ใดเล่า ล้วนต้องถูกเผาหามไปป่าช้า

ชีวิตยังมีสร้างความดีไว้เถิด ได้ไม่เสียชาติเกิด ได้ไม่ต้องอายหมา

อันว่าความตายคือสัจธรรมความเที่ยง สิ้นสรรพสำเนียงเน่าเหม็นขึ้นมา

จะเอาอะไร...จะเอาอะไรกันนักหนา...

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

"โลกว่าง" นั้น ก็เพราะว่างจากสาระ หรือจากความหมายที่ใคร ๆ ควรจะไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวตน หรือของตน

ในโลกนี้จะมีอะไรมากมายสักเท่าไรก็ตาม แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายที่จะเป็น "ตัวตน" ที่แท้จริงได้ ไม่มีความหมายที่จะเป็นของ ๆ ตน หรือของใครโดยแท้จริงได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นไปตามธรรมชาติ ใครจะไปนึกว่าเป็นของตนก็นึกได้ แต่ความจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ มีความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้นนั่นเอง
.
เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "โลกว่าง" นั้น ก็เพราะว่างจากสาระ หรือจากความหมายที่ใคร ๆ ควรจะไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวตน หรือของตน แต่ทีนี้มิได้หมายความว่า คนทุกคนจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น หมายความว่า ใครจะเกี่ยวข้องกับสิ่งอะไรตามที่ควรจะเกี่ยวข้องก็ได้ทั้งนั้น แต่อย่าได้ไปเกี่ยวข้องด้วยจิตใจที่ไปยึดมั่น สำคัญมั่นหมายเอาว่า เป็นตัวตน หรือเป็นของตน เพราะว่าพอไปยึดมั่นถือมั่นเข้าเท่านั้น ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมาทันที
.
ไม่จำเป็นจะต้องยึดมั่นถือมั่นสิ่งเหล่านั้น ก็เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นได้ จะแสวงหาก็ได้ จะบริโภคใช้สอยก็ได้ จะเก็บไว้ก็ได้ จะทำให้มากขึ้นไปก็ได้ ขอแต่อย่าได้เข้าใจผิดไปว่า เป็นตัวตน หรือเป็นของ ๆ ตน  เมื่อไม่มีความยึดถือว่า ตัวตน หรือของตน ก็ไม่มีความทุกข์เลย ดังนั้น คนเราอาจจะเสาะแสวงหาทรัพย์สมบัติ หรือสิ่งใดก็ได้ มีไว้ก็ได้ ใช้จ่ายก็ได้ ทำอะไรได้ทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์
.
นี้คือ ประโยชน์อันใหญ่หลวงของคำสอนของพระพุทธเจ้า คือทรง พระพุทธองค์ทรงหวังว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นอยู่โดยไม่ต้องมีความทุกข์ จะทำอะไรทุก ๆ อย่างได้โดยไม่ต้องมีความทุกข์ จะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ต้องมีการถูกเสียบแทงให้เจ็บปวดด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะไม่ยึดถือ สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์เลย
.
เช่นเดียวกับว่าเราจะบริโภคปลา เราก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้โดยไม่บริโภคก้างปลา แต่บริโภคส่วนที่ไม่เป็นอันตรายแก่เรา ข้อนี้ฉันใด ผู้ที่มีความรู้ในธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว อาจจะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ต้องไปผูกเข้ากับส่วนที่เป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นทุกข์แต่ประการใด ก็อาจจะเอาชนะโลกนี้ได้ เอาชนะโลกอื่นได้ กระทั่งอยู่เหนือโลกโดยประการทั้งปวงได้ นี้คือข้อที่มีความรู้เรื่องโลกถูกต้องว่า โลกนี้เป็นของว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อท่านผู้ใดได้ฟังว่า โลกว่าง ก็จงเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายอย่างนี้ ไม่ได้ทรงมุ่งหมายว่า โลกนี้ไม่มีอะไร
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : เทศน์งานศพ  มารดาคุณเรียม ปี พ.ศ. 2509
ฟัง https://goo.gl/53iTQz


Source : จดหมายเหตุพุทธทาส อินฺทปญฺโญ

พวกเราไหว้พระพุทธรูปแบบไหนกัน?

การไหว้พระพุทธรูปอย่างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ขอให้ทำกันอย่างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ขอร้องโดยไม่มีเหตุผล บวงสรวงอ้อนวอนต่อพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์  นี่มันคือไสยศาสตร์...แต่ถ้ากราบพระพุทธรูปว่า นี่เป็นสัญลักษณ์อย่างผู้ที่ช่วยโลก ช่วยโลกสำเร็จมาแล้ว มีคำสอนดับทุกข์ได้อย่างที่เรารู้อยู่ แล้วเรากราบพระพุทธรูปอย่างนี้ กราบพระพุทธรูปอย่างนี้เป็นพุทธศาสตร์

แต่คนโดยมากจะกราบพระพุทธรูปอย่างไสยศาสตร์ทั้งนั้น  แม้ที่เอามาแขวนคอก็เหมือนกันแหละ  แขวนอย่างไสยศาสตร์เป็นส่วนมาก  แถมยกแก้วเหล้าข้ามหัวเสียด้วยนะ  นี่ถ้าแขวนอย่างไสยศาสตร์  ถ้าว่ามันเป็นพุทธศาสตร์มันก็รู้ว่านี่คืออะไร คือใคร คือผู้ที่ทำหน้าที่อย่างไร เอาสัญลักษณ์ของท่านมาแขวนไว้ที่คอกันลืม และเพื่อจะทำตามท่านโดยสะดวก เราก็แขวนพระพุทธรูปในลักษณะเป็นพุทธศาสตร์

พุทธทาสภิกขุ

ที่มา : แสดงธรรมล้ออายุ ปี พ.ศ. 2525
ฟัง : http://sound.bia.or.th/catalogue.php?item_code=1415250527010

Source : (Facebook Fanpage) จดหมายเกตุ 100 ปี พุทธทาสภิกขุ

Ps..  ขออ้างเอาคำพูดของพระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อปัญญนันทภิกขุ ได้เคยกล่าวไว้ว่า
   ....  ในทางพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่า"ดลบันดาล"

ชึ่งมีนัยยะเดียวกันในธรรมบรรยายบทนี้ของท่านพุทธทาสครับ

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาล ทั่วประเทศ



Source : UPDATE : https://www.kaokonlakao.comติดตามความคืบหน้าล่าสุด  UPDATE : https://www.kaokonlakao.comขอขอบคุณ  www.kaokonlakao.com
เราอยากที่จะ ก้าว ไปให้ถึงที่สุด เท่าที่พลังของเราและทุกๆ คนจะมี เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่า... แค่ก้าวเล็กๆ จากทุกคน เมื่อรวมกันแล้ว... มันจะสามารถกลายเป็น“ก้าวยาวๆ” ขึ้นมาได้จริงๆ
- ตูน บอดี้สแลม

UPDATE : https://www.kaokonlakao.comSource : UPDATE : https://www.kaokonlakao.comติดตามความคืบหน้าล่าสุด  UPDATE : https://www.kaokonlakao.com


ระยะทาง257.85กิโลเมตร
วิ่งมาแล้ว6วันเวลารวม51:12:52ชั่วโมง
ยอดเงินบริจาค

97,259,630.20บาท

มอบให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าUPDATE : https://www.kaokonlakao.com


นายจิมมี่ ชวาลา นักธุรกิจผู้ประกอบการค้าผ้ารายใหญ่ของ จ.นครศรีธรรมราช จะสมทบโครงการร่วมบริจาคในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของ “ตูน บอดี้สแลม” ในนามของชาวนครศรีธรรมราชทุกคน คนละ 10 บาท รวมจำนวนเงิน 16 ล้านบาท


นายจิมมี่ ชวาลา นักธุรกิจผู้ประกอบการค้าผ้ารายใหญ่ของ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสังคมถึงการเป็นผู้ให้ จะสมทบโครงการร่วมบริจาคในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของ “ตูน บอดี้สแลม” ในนามของชาวนครศรีธรรมราชทุกคน คนละ 10 บาท รวมจำนวนเงิน 16 ล้านบาท


ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใด เนื่องจากทุกคนต่างทราบกันดีถึงการเป็นผู้ให้ของนายจิมมี่ และทุกครั้งที่นายจิมมี่ บริจาคสมทบทุนในงานบุญคราวละมากๆ นั้น จะไม่เคยประกาศในนามของตัวเองเลย แต่จะประกาศทุกครั้งในนามของ “ชาวนครศรีธรรมราช”


♢♢♢♢♢♢♢♢♢♢♢♢

 เผยประวัตินาย “จิมมี่ ชวาลา” มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ


เผยประวัตินาย “จิมมี่ ชวาลา” มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ หลังจากชาวพุทธแห่ติดตามข่าว บริจาคเงิน 28 ล้าน นำไปซื้อทองคำหนัก 20 กิโลกรัม เพื่อใช้บูรณะฯปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร-ผู้ดั้นด้นจากอินเดียสู่การเป็น“มังกรเมืองคอน”มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ-ยึด”กฎไตรลักษณ์”เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต
จากกรณีที่นายจิมมี่ ชวาลา อายุ 58 ปี คหบดีมหาเศรษฐีเจ้าของกิจการ “จิมมี่คลังผ้า”ใจกลางเมืองนครศรีธรรมราช จะบริจาคทองคำ 20 กิโลกรัม มูลค่า 28 ล้านบาทในนามชาวนครศรีธรรมราช เพื่อบูรณะฯ ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช
ที่มีคราบสนิมและหมองคล้ำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2558 และถวายเป็นพุทธบูชาและจนกลายเป็นข่าวที่สร้างความฮือฮายกย่องชื่นชมนายจิมมี่ อย่างกว้างขวาง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
(9 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าชาวพุทธแห่ติดตามข่าว บริจาคเงิน 28 ล้าน นำไปซื้อทองคำหนัก 20 กิโลกรัม เพื่อใช้บูรณะฯป ลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยได้เข้าไปติดตามความคืบหน้าของข่าวตามสำนักข่าวต่าง ๆ ในโลกออนไลน์หลายหมื่นคน โดยส่วนใหญ่อยากทราบถึงประวัติความเป็นมากของนายจิมมี่ มหาเศรษฐีผู้ใจบุญว่าเป็นใคร มาจากไหน
ทำไมจึงยอมควักเงินมหาศาลบริจาคเพื่อพุทธศาสนาและถวายเป็นพระราชกุศล นอกจากนี้ได้แห่เดินทางไปอุดหนุนซื้อผ้าร้านจิมมี่ และถามหาตัวนายจิมมี่เพื่อขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกจนร้านจิมมี่ มีผู้คนแน่นขนัดตลอดทั้งวัน
สำหรับประวัตินายจิมมี่ ชวาลา อายุ 58 ปี เป็นคนสัญชาติอินเดีย บิดาชื่อนายราม ชวาลา บิดาชาวอินเดียซึ่งนายราม และนายชม บิดานายราม (คุณปู่นายจิมมี่) ได้เดินทางมาจากประเทศอินเดีย เข้ามาปักหลักทำมาหากินในเมืองนครศรีธรรมราช
โดยค้าขายผ้า ต่อมาได้เปิดเป็นร้านขายผ้าชื่อ “ร้านนายชม” ใน ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ในขณะที่นายราม บิดานายจิมมี่ นอกจากจะขายผ้าแล้วยังชื่นชอบ”มวยไทย” ศิลปะการต่อสู้ของเมืองไทยจึงได้ฝึกฝนและชกมวยเป็นอาชีพ โดยชื่อ “รามซิง ศิษย์สุริยะ” จนมีโอกาสเข้าไปชกในเวทีราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร จนมีชื่อเสียงโด่งดัง
นายราม บิดา ได้หันมาเปิดร้านค้าผ้าในตลาดท่าวัง อ.เมืองนครศรีธรรมราชอย่างเต็มตัว โดยธุรกิจรุ่งเรือง เป็นที่รู้จักกันดีของชาวนครศรีธรรมราช ต่อมาในปี 2518 นายจิมมี่ ได้เดินทางจากประเทศอินเดียเข้ามาช่วยดูแลร้านขายผ้าของนายราม บิดา จนกระทั่งนายราม บิดาได้เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 59 ปี นาย นายจิมมี่ ชวาลา จึงได้สืบทอดธุรกิจค้าผ้าต่อจากนายรามบิดา โดยปรับปรุงและเปิดเปิดร้านค้าผ้าใหม่ชื่อร้าน “จิมมี่ คลังผ้า” บริเวณริมถนนราชดำเนิน ใกล้สี่แยกท่าวัง ต.ท่าวัง อ.เมืองนครศรีธรรมราช จนธุรกิจค้าผ้าเจริญรุ่งเรือง เติบโตมาจนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 40 ปีมาแล้ว
โดยตลอดระยะเวลาที่นายจิมมี่ ทำธุรกิจค้าผ้าใน จ.นครศรีธรรมราช จนฐานะร่ำรวยระดับเศรษฐีระดับต้น ๆ ของ จ.นครศรีธรรมราช แต่ไม่เคยแล้งน้ำใจและไม่เคยบุญคุณแผ่นดินไทย
นายจิมมี่ ได้เคยบริจาคช่วยเหลือด้านสาธารณะบุญงานกุศลต่าง ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชแบบไม่เคยคิดที่จะเอาคืนเป็นจำนวนมากและอย่างต่อเนื่อง และส่วนใหญ่จะบริจาคในนามชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่นเดียวกับการบริจาคเงิน 28 ล้านบาท ใช้ซื้อทองคำ 20 กิโลกรัม เพื่อบูรณะฯ แก้ปัญหาคราบสนิมปลียอดพระธาตุนครศรีธรรมราช
นายจิมมี่ ได้ระบุชัดเจนว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่พี่น้องชาวนครศรีธรรมราช ที่มาอุดหนุนร้านค้าผ้าของนายจิมมี่ มาตลอดเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วเงินยังเหลือจึงนำเงินเหล่านี้กลับคืนสู่สังคมนครศรีธรรมราช และบริจาคให้ในนามชาวนครศรีธรรมราช บ่งบอกถึงการเป็นเศรษฐีใจบุญและทดแทนบุญคุณแผ่นดินนครศรีธรรมราช และแผ่นดินไทยอย่างแท้จริง
“ในการมอบเงิน 28 ล้านในครั้งนี้เราเป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์เท่านั้น โดยเงินนี้เป็นเงินที่มาจากประชาชนชาวนครศรีธรรมราชทั้งนั้น ประชาชนมาอุดหนุนซื้อผ้าจากร้านของเราได้เงินมาหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วเราก็เก็บเอาไว้ตามปกติ แต่นี่เงินมันเหลือจะเอาไปไหน โดยตาม “กฎไตรลักษณ์”ซึ่งเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ไม่มีใครเอาอะไรไปได้
เมื่อมันเป็นเงินที่พี่น้องชาวนครศรีธรรมราชมาอุดหนุนร้านจิมมี่และมันเหลือจะเอาไปไหนละ จะให้ลูกหลานหมดเลยหรือ ตัวผมเองพ่อแม่ไม่ได้ทำอะไรไว้ให้มากมายนอกจากให้ชีวิตที่เป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด จะให้เราส่งต่ออะไรให้ลูกหลานมากมายมันคงไม่ใช่ เขาก็สร้างของเขาเองได้ ดังนั้นเราก็เอาส่วนที่เหลือนี้ถวายกลับให้แผ่นดิน เพื่อเป็นพระราชกุศล ทุกคนก็มีรอยยิ้ม พี่ ๆ นักข่าวเองก็มีรอยยิ้มเพราะมันไปในที่ที่ดีทั้งหมด ถ้าเราคิดดี พูดดี และเราทำดี มันก็คือสิ่งดี ๆ ก็ควรจะปล่อยความดีไว้ให้เป็นความดี”นายจิมมี่ กล่าวย้ำหนักแน่น
นายจิมมี่ ได้สร้างฮือฮาในสังคมอีกครั้งหนึ่งเมื่อ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ปี 2549 นายจิมมี่ ได้จัดงานแต่งงานอย่างสุดหรูให้นายนายวิษณุหรือแซนดี้ ลูกชายวัย 26 ปี โดยทุ่มเงินกว่า 3 ล้านบาทปิดโรงแรมทวินโลตัส เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ใจกลางเมืองนครศรีธรรมราช ทั้ง 18 ชั้น เชิญแขกกว่า 2,000 คนมาร่วมงานจนแน่นโรงแรม โดยประกาศไม่ขอรับซองจากแขก แต่หากแขกที่มาร่วมงานท่านใดจะให้ซองก็ให้ใส่ในตู้บริจาค ปรากฏว่าได้เงินกว่า 1 ล้านบาท นำขึ้นทูลเกล้าถวายโดยเสด็จพระราชกุศล
นอกจากนี้ยังประกาศว่าใครสวมใส่ชุดสาหรี่ในงานยังประกาศแจกเงิน  1 แสนบาททันที สำหรับแขกคนไหนที่แต่งชุดสาหรี่มาร่วมงานแต่งลูกชายจนจะมอบเงินให้คนละ 100,000 บาท และในวันงานมีผู้แต่งชุดสาหรี่มาร่วมงานได้รับเงินคนละ 100,000 บาทไปหลายคนจนเป็นที่ฮือฮามาจนถึงทุกวันนี้
“จิมมี่” เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและด้วยจิตวิญญาณของการเป็นผู้ให้ ที่สร้างสีสรร เรื่องราว และสร้างคุณประโยชน์นานาประการให้เกิดขึ้น โดยนายจิมมี่ ประกาศด้วยสำเนียงภาษาไทยปักษ์ใต้อย่างชัดเจนว่า "ผมเป็นคนนคร " ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ยกย่องว่า“มังกรเมืองคอนมหาเศรษฐีใจบุญ นายจิมมี่ ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น "คนดีศรีเมืองนคร"
และได้รับปริญญาธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารธุรกิจ (การตลาด) จากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช โดยนายจิมมี่ ยึดหลักการ “รู้คุณ–ทดแทนคุณ” และหลักธรรมของพระพุทธศาสดาคือกฏ“ไตรลักษณ์” อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายถึงเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไฟ เป็นหลักในการดำเนินชีวิตและธุรกิจมาโดยตลอด.

ไพฑูรย์ อินทศิลา/กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ /นครศรีธรรมราช

ขอขอบคุณเนื้อหา/ที่มา

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ข้าวอันดับ 1 ของคนไทย


ข้าวหอมมะลิ ข้าวอันดับ 1 ของคนไทย ประโยชน์มากมาย
ข้าวหอมมะลิ ถือเป็นข้าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย และเป็นสินค้าการส่งออกทางการเกษตรที่สำคัญมาก สร้างรายได้เข้าประเทศปีละหลายพันล้านบาท และถือว่ามีบทบาทสำคัญกับชาวนานอย่างยิ่ง ด้วยการคิดค้นสายพันธุ์ของคนไทยทำให้เราได้ข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในโลกมาไว้ครอบครองเป็นของตัวเอง และทั่วโลกต่างให้การยอมรับและสั่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากความอร่อยของข้าวหอมมะลิแล้ว ข้าวหอมมะลิยังมีประโยชน์อีกมากมาย และมีลักษณะเฉพาะที่บางคนอาจจะยังไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นแล้วเรามาดูกันครับว่าข้าวหอมมะลิมีลักษณะเฉพาะอะไรบ้าง


ลักษณะจำเพาะของกลิ่นหอมมะลิ

คุณทราบกันไหมครับว่าความหอมของข้าวหอมมะลินั้นสามารถระเหยและหายไปได้ หากเก็บรักษาไม่ถูกวิธี โดยวิธีที่ถูกต้องนั้น ท่านต้องเก็บข้าวหอมมะลิไว้ในที่เย็น โดยมีอุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส และหากเป็นข้าวเปลือกให้เก็บในที่ที่มีความชื้นต่ำ 14-15% ข้าวหอมมะลิส่วนมากนิยมปลูกในที่นาดอน

ข้าวหอมมะลิ เป็นอย่างไร

ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวที่มีคุณภาพดีที่สุดเท่ามีสายพันธุ์ข้าวในประเทศไทย และยังมีราคาที่แพงที่สุดอีกด้วย เพราะด้วยความอร่อยชวนรับประทานและสามารถปลูกได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมบริโภคอย่างมากสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติ สำหรับตลาดในต่างประเทศนั้น มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นมากถึง 148,544 ตัน ประเทศสำคัญต่างที่เป็นลูกค้าหลักในการซื้อข้าวหอมมะลิของไทย ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวที่มีคุณภาพสูง และมีข้าวเปลือกเรียวยาว ได้ขนาดมาตรฐานข้าวชั้นหนึ่ง เมื่อสีเป็นข้าวสารจะได้ เมล็ดข้าวที่เรียวยาว ขาวใส เงาแกร่ง และมีท้องไข่น้อย มีกลิ่นหอมอย่างมากเมื่อนำมาหุงเป็นข้าวสุก มีรสชาติ ดี ข้าวหอมมะลิมีอะมิโลสต่ำ คือ ประมาณ 12-18% ทำให้เมื่อข้าวสุกแล้วจะมีความอ่อนนุ่มนิ่มข้าวหอมมะลิเป็นชื่อที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการค้าข้าว นิยมเรียก โดยที่จริงแล้วเพี้ยนมากจากชื่อ ขาวดอกมะลิ และมีชื่อที่เป็นทางการว่า ขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งมีความหมายว่า ประเภทข้าวขาว เพราะข้าวเปลือกมีสีขาว และมีกลิ่นหอม ส่วนหมายเลข 105 นั้น ได้มาจากลำดับขั้นตอนในการปรับปรุงพันธุ์

เกรดต่างๆ ของข้าวหอมมะลิ 

ในการจำหน่าย

1. ข้าวหอมมะลิชั้น 1 มีข้าวชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 5%
2. ข้าวหอมมะลิชั้น 2 มีข้าวชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 15%
3. ข้าวหอมมะลิชั้น 3 มีข้าวชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 30%
เชื่อว่าหลายคนคงนิยมบริโภค ข้าวหอมมะลิ เป็นอันดับ 1 แน่นอนใช่ไหมครับเพราะประโยชน์ของข้าวหอมมะลิมีมากมายเหลือเกิน
พูดถึง ประโยชน์ของข้าวหอมมะลิ กันบ้างเชื่อว่าหลายที่ท่านนิยมทานข้าวหอมมะลินั้นเพราะว่าติดใจในรสชาติอร่อย หอม มัน และนุ่มลิ้น แต่จะมีสักกี่คนครับที่รู้ว่าแท้จริงแล้วข้าวหอมมะลิมีคุณประโยชน์มากมายกว่าที่คิด วันนี้เราจะมาดูกันครับว่า ข้าวหอมมะลินั้น มีประโยชน์อะไรบ้าง เพื่อเป็นความรู้รอบตัว

ประโยชน์ของข้าวหอมมะลิ

1. ช่วยบำรุงร่างกาย และเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ช่วยในฟื้นฟูกำลัง สามารถป้องกันอาการอ่อนเพลียได้ เพราะมีวิตามินบี2
2. ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายเจริญโตได้อย่างสมบรูณ์
3. ช่วยบำรุงผิวพรรณสดใส ไม่แห้งแตกมีน้ำมีนวล เพราะมีวิตามินอี
4. บำรุงสุขภาพผิวหนัง และลิ้นได้ดี
5. ช่วยเสริมสร้างและบำรุงการทำงานของระบบประสาท
6. ช่วยป้องกันและลดโอกาสการเกิดโรคความจำเสื่อมอย่างได้ผล
7. ช่วยแก้อาการเบื่ออาหารได้ เพราะมีวิตามินบี2
8. ช่วยสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง เพราะมีฟอสฟอรัส
9. ช่วยเสริมสร้างการสึกหรอในส่วนต่างๆของร่างกาย เพราะมีโปรตีน
10. สารลูทีนในข้าวหอมมะลิ ยังสมารถช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคต้อกระจก
11. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็ก และธาตุทองแดงในตัวของข้าวหอมมะลิ
12. ช่วยลดการจับตัวของลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด เพราะมีสารเบต้าแคโรทีน
13. ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และช่วยส่งออกซิเจนในเลือดไปสู่อวัยวะต่าง ๆของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น เพราะมีธาตุเหล็ก
14. ประโยชน์ของข้าวหอมมะลิ ใยอาหารของข้าวหอมมะลิกล้องสามารถช่วยดูดซับของเสียและสารพิษต่าง ๆ ให้ไปออกจากร่างกายได้ดีมาก
15. สำหรับข้าวหอมมะลิกล้อง มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
16. สำหรับข้าวหอมมะลิแดงสามารถช่วยป้องกันโรคคอหอยพอก เพราะมีไอโอดีน
17. ข้าวหอมมะลิสามารถช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก และริมฝีปากบวม
18. ช่วยในระบบการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้
19. สามารถช่วยลดการเกิดหรือลดอาการของการเป็นตะคริวได้ เพราะมีแคลเซียม
20. อีกทั้งเมล็ดข้าว ยังนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับอีกด้วย
21. ในส่วนของรำข้าวสามารถนำมาทำเป็น น้ำมันรำข้าว สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ ทำลิปสติก ทำยาหม่อง ทำแวกซ์ หรือทำเป็นโลชั่นบำรุงผิว และยังสามารถนำมาแปรรูปได้อีกมากมาย

ตกใจกันเลยทีเดียวใช่ไหมครับกับประโยชน์ของข้าวหอมมะลิที่ทุกท่านอาจจะยังไม่รู้ เห็นไหมครับว่าข้าวหอมมะลินั้นมีประโยชน์มากมายอย่างที่ผมได้กล่าวมา แต่นี่เป็นเพียงประโยชน์บางส่วนเท่านั้น นอกจากนี้ข้าวหอมมะลิยังมีประโยชน์และสรรพคุณอีกเยอะมากเกินกว่าจะบรรยายได้หมด เพราะเหตุผลเหล่านี้ทำให้ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวที่นิยมบริโภคกันมากที่สุดในประเทศไทย แต่เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าข้าวหอมมะลิแท้ต่างจากข้าวหอมมะลิเทียมอย่างตามมาอ่านต่อกันเลย

สำหรับหลายคนซึ่งมีความเข้าใจผิดกันเป็นอย่างมากสำหรับการเลือกซื้อข้าวหอมมะลิตามซุปเปอร์มาเก็ต และคิดว่าข้าวหอมมะลิที่เราซื้อมานั้นเป็นข้าวหอมมะลิแท้ แต่ที่จริงท่านกำลังคิดผิดครับเพราะหลายท่านเวลาเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เกตแล้วเห็นคำว่า ข้าวหอมบนถุง ก็หลงเข้าใจว่าเป็นข้าวหอมมะลิแท้ แต่ที่จริงมันเพียงข้าวหอมธรรมดาเท่านั้น

ข้าวหอมมะลิแท้ VS ข้าวหอม

ข้าวหอมมะลิ คือข้าวที่มีสายพันธ์ให้ผลผลิตที่ดีมีกลิ่นหอม เม็ดยาวเรียว ขาวสวย ข้าวหอมมะลิแท้ จะเป็นข้าวนาปีเท่านั้น ข้าวนาปีคือข้าวที่สามารถปลูกได้เพียงปีละหนึ่งครั้ง นิยมปลูกในเขตอีสานหรือภาคเหนือเพราะพื้นที่เพาะปลูกเหมาะมากสำหรับการปลูกข้าวหอมมะลิ จะทำให้ข้าวเจริญเติบโตได้ดี การเก็บข้าวหอมมะลิเราควรเก็บในที่ซึ่งอุณหภูมิต่ำ ไม่มีความร้อน และมีความชื้นต่ำ หากเราเก็บไว้ในที่ซึ่งมีอุณหภูมิสูงจะทำให้หมดกลิ่นหอม เราจะสังเกตได้ว่าบนถุงของข้าวหอมมะลิแท้ มักเขียนต่อท้ายว่าข้าวจากทุ่งกุลาร้องไห้ นั่นก็เพราะว่าทุ่งกุลาร้องไห้นั้น เป็นบริเวณแหล่งดินทราย ซึ่งทำให้สามารถปลูกข้าวหอมมะลิที่ได้ดี มีรสชาติหอม อร่อย
ข้าวหอม หลายคนสับสนและเข้าใจผิดว่าข้าวหอมคือข้าวหอมมะลิแท้ที่จริงแล้วนั้น ข้าวหมอเป็นเพียงข้าวขาวทั่วไปที่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า ข้าวหอมนั้นมีกลิ่นหอมที่ใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิก็เท่านั้นเอง ข้าวหอมส่วนใหญ่หมายถึงข้าวพันธ์หอมปทุม ซึ่งเป็นสายพันธ์ที่มีการพัฒนาเพื่อให้มีความหอมอร่อยใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิ และส่วนที่แตกต่างออย่างสิ้นเชิงระหว่างข้าวหอมกับข้าวหอมมะลิคือ ข้าวหอมเป็นข้าวที่ปลูกได้ตลอดทั้งปี บางครั้งปีหนึ่งปลูกได้ถึง 3 ครั้งเลยทีเดียว ในขณะที่ข้าวหอมมะลิสามารถปลูกได้เพียงปีละครั้ง และให้ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 30-40 ถังในขณะที่ข้าวหอมจะให้ผลผลิตที่ 80-100 ถังต่อไร่ ซึ่งข้าวหอมจะให้ผลผลิตที่มากกว่าและสามารถปลูกได้บ่อยมากกว่า ทำให้ในช่วงหลังเกษตรกรไทยนิยมหันมาปลูกข้าวหอมกันมากกว่าข้าวหอมมะลิ

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าข้าวหอมมะลินั้นจะให้ผลผลิตที่น้อยกว่าและปลูกได้เพียงปีละครั้ง แต่ราคาของข้าวหอมมะลิก็สูงกว่าข้าวหอมเป็นอย่างมาก และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจำนวนมาก เพราะว่า ข้าวหอมมะลิมีคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย และมีหอมคล้ายใบเตย อีกทั้งยังมีความนุ่มเวลารับประทาน ทำให้ข้าวหอมมะลิเป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีความนิยมของบริโภคมากที่สุดในประเทศไทย


▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪

ข้าวหอมสุรินทร์แท้
เก็บเกี่ยวเสร็จใหม่ๆ 

จากชาวนา บ้านหนองคู ตำบลพระแก้ว อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
สั่งซื้อจำนวนมากในราคาพิเศษยินดีส่งให้ถึงที่ 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 
โทรฯ : 09-1678-7156 
คุณกัณณิกา(นาง)

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

อย่าแค่แขวนพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้ในบ้าน...



อย่าแค่แขวนพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้ในบ้าน...

ศาสตราจารย์แมนเฟรด คราเมส (Prof.Manfred Krames) เป็นคนเยอรมัน เขาอาศัยอยู่ในศรีลังกาหลายปี กระทั่งหลังเกิดมหาสึนามิไม่นานเขาจึงย้ายมาพำนักที่ ประเทศไทย ณ จังหวัดเชียงใหม่ ฝรั่งคนนี้มีมุมมองที่น่าสนใจยิ่งในเรื่องในหลวงกับคนไทย

เขาบอกว่า เวลาได้ยินคนไทยพูดว่า รักในหลวง เขารู้สึกเศร้าใจ

เขาถามว่า เป็นคุณ ๆ จะไม่เศร้าใจหรือถ้าคุณมีลูกที่ไม่เคยเชื่อคำสอนของคุณเลย ไม่เคยเดินตามแนวทางที่คุณวางไว้ ไม่ต้องการเรียนรู้อะไรจากคุณ

"สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเพียงแค่ก่อปัญหาแล้วก็เรียกร้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเสมอ ในขณะเดียวกันก็พร่ำพูดว่า ลูกรักพ่อ ถ้าท่านเป็นพ่อ ท่านจะรู้สึกอย่างไร"

ในทัศนะของเขา ในหลวงคือ ครูผู้ยิ่งใหญ่ หรือ บรมครูผู้ที่เราต้องเรียนรู้จากพระองค์ท่าน

"...ทรงเป็นครูของเรา แต่ได้โปรดตระหนักไว้เสมอว่า อย่าศึกษาเล่าเรียนเพื่อเอาใจครู  แต่จงศึกษาเล่าเรียนเพื่อประโยชน์และความดีงามให้แก่ตัวท่านเอง...

...ผมคิดว่า เป็นการไม่รับผิดชอบ ที่จะนั่ง ๆนอน ๆ ใช้ชีวิตอย่างสบายและให้คนคนเดียวทำงานอย่างหนัก เพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาของชาติ ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่เคารพพระองค์ ซึ่งแย่เสียกว่าการพูดถึงพระองค์ในทางที่ไม่ดีในที่สาธารณะ

ประเทศหลายแห่งในโลกจะดีใจมาก  ที่มีพระมหากษัตริย์เช่นนี้ แต่ท่านเองเป็นคนไทย มีพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่ไม่ได้นำประโยชน์จากพระองค์มาใช้ประโยชน์ในชีวิตเลย

ผมคิดว่า น่าละอาย ถ้าหากเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปสู่วาระใหม่และมีกระแสลมแรงมาจากทิศทางอื่น ประเทศหลายแห่งในโลกจะชี้มายังประเทศไทยและดูแคลนว่า ดูสิ พวกเขามีครูที่ยิ่งใหญ่แต่ได้เรียนรู้จากพระองค์น้อยมาก !

ผมรู้สึกสงสารพระองค์อย่างสุดซึ้ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นบุคคลเพียงคนเดียว ที่พยายามพัฒนาชาติ ในขณะที่คนอื่นๆในชาติเฝ้าแต่รอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น..."

ศ.คราเมส ระบุว่า จะพบเห็นว่า นักการเมืองจำนวนมากในเอเซีย ที่หลังจากครองอำนาจ และได้ผลประโยชน์แล้ว มักจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรแก่ประชาชนเลย นักการเมืองเหล่านั้น ทำให้ในหลวงทุกข์ใจ  พวกเขาเสแสร้งว่า ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ แต่นั่นเป็นการสร้างภาพไม่ใช่ความจริง !

"พวกเขาเพียงแค่ต้องการใช้ภาพความจงรักภักดีนี้  เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเทคะแนนให้ ในการเลือกตั้ง และขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมาเท่านั้น ประชาชนไทยมุ่งหวังว่า นักการเมืองจะอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ เฉกเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  แต่พวกเขาก็ทำให้คนไทยทั้งชาติผิดหวัง พวกเขาไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้เพราะพวกนักการเมืองไทย ได้รับอิทธิพลแนวคิดแบบตะวันตก และมีหัวใจที่ถูกครอบงำไว้ด้วยธุรกิจ

สำหรับผม พวกเขาจึงไม่ได้มีความเป็นไทยอีกแล้ว นั่นคือ เหตุผลที่ว่า ทำไมคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย จึงรู้สึกรับไม่ได้กับการคอร์รับชั่น ฉ้อราษฏร์บังหลวงและนักโกหกที่ทำลายประเทศ ลงด้วยมือของพวกเขาเอง..."

ศ.คราเมส เสนอแนะว่า คนไทยจะต้องเข้าใจคุณค่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างถ่องแท้ และผสมผสานแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาของพระองค์ ลงไปในการดำเนินชีวิตประจำวันและถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ในโรงเรียนเพื่อให้คนรุ่นใหม่ ๆ ได้ศึกษาด้วย

เขาเห็นว่า พระราชดำริหรือสิ่งที่ทรงทำในทุก ๆ เรื่องนั้น ทรงใช้หัวใจทั้งสิ้น เพราะพระองค์เข้าใจดี ถึงคุณค่าของความรักและความซื่อสัตย์. คนไทยทั้งหลายรู้สึกเชื่อมโยงถึงพระองค์ท่านได้ก็เพราะสิ่งนี้

เขาคิดว่า คำสอนของในหลวงนั้นเป็นสากลเช่นเดียวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ คนทั่วโลกถึงเรียนรู้และปรับเอาความรู้จากในหลวงไปใช้ได้เช่นกัน

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความชาญฉลาด แบบตะวันตก และภูมิพลังปัญญาแบบตะวันออก ในบุคคลเดียวกัน ซึ่งถือว่า เป็นสิ่งสมบูรณ์พร้อมอย่างมาก..."

ศ.คราเมส ระบุว่า นักการเมืองไทยนั้นตกอยู่ในค่านิยมตะวันตก มักกระตุ้นคนด้วยการบริโภคนิยม กับอำนาจล่อใจของอิทธิพลทางการเมือง
และวัตถุนิยมกำลังเข้มแข็งมากเกินไปในสังคมไทย. เพราะมองเห็นเช่นนี้เขาจึงเตือนว่า
"คำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงกำลังสูญหายไปตลอดกาล หากยังไม่มีใครตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญแห่งคำสอนนั้น..
ทุกคนควรตระหนักว่า  หนทางเดียวที่จะแสดงความเคารพต่อครูก็คือ เรียนรู้จากพระองค์เพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่เพียงแค่แขวนพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้ในบ้าน.”..

...หากคนทุกช่วยกันเก็บรักษาเจตนารมย์ อันแรงกล้าและคำสอนของพระองค์เอาไว้ ให้อยู่สืบต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน ผมเชื่อเหลือเกินว่า พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของทุกคน พระองค์นี้จะอยู่ในหัวใจคนไทยตลอดกาล"

ฝรั่งคนนี้เป็นใครยังไม่ได้สืบค้น แต่หลายคำของเขานั้นมีคุณค่าน่าเอามาใส่ใจ

บัดนี้ สิ่งที่เขาเตือนคนไทยมาหลายปีนั้น ปรากฎชัดว่า เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เช่น หลายประเทศในโลก เห็นคุณค่าของในหลวง กับสิ่งที่พระองค์คิด และสิ่งที่พระองค์ทำ แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติก็ยกย่องสดุดีพระองค์ท่าน

ในไม่ช้านี้ คำเตือนของเขาอีกหลายอย่างก็คงจะเกิดขึ้นตามมา

น่าคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันสืบทอด ช่วยกันบำรุงรักษา หรือพัฒนาพระราชมรดก ที่พระราชทานไว้ให้แก่สังคมเราสืบต่อไปได้อย่างไร

ภัทระ คำพิทักษ์ เรียบเรียงจากบทความเรื่อง
เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว โดย ศาสตราจารย์แมนเฟรด คราเมส (Prof.Manfred Krames)
ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Lips ปีที่ 4 ฉบับที่ 16 วันที่ 6 สิงหาคม 2552

Most watched