วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คำพูดสุดท้ายจากสตีฟ จอบส์

เผยคำพูดสุดท้ายจากสตีฟ จ็อบส์ เรื่องน่าคิดชีวิตคนทำงาน!

ผมประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านธุรกิจ หรืออาจกล่าวว่าชีวิตผมเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของความสำเร็จ

แต่นอกจากการทำงานแล้ว ผมไม่ได้มีความสุขนัก เพราะในที่สุด ความร่ำรวยก็กลายเป็นสิ่งเดียวที่ผมมี
.
ในขณะนี้ ผมกำลังนอนป่วยอยู่บนเตียงและพยามยามรำลึกถึงชีวิตของผมที่ผ่านมา ผมพบว่าความร่ำรวยที่ผมเคยภูมิใจ กลับไม่มีค่าอะไรเลยในช่วงสุดท้ายที่ผมกำลังจะตาย
.
ในความมืด ผมมองเห็นเพียงแสงสีเขียวและเสียงของเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว
.
ตอนนี้ผมเพิ่งตระหนักว่า เมื่อเราร่ำรวยพอแล้ว เราควรหันไปใส่ใจกับเรื่องอื่นๆ บ้าง
ซึ่งอาจเป็นสิ่งอื่นๆที่สำคัญ เช่น งานศิลป ที่เราเคยใฝ่ฝันในตอนเด็กๆ
.
การไม่ยอมหยุดสร้างความร่ำรวย จะทำให้ต้องมีชีวิตเหมือนที่ผมเป็น
.
พระเจ้าได้มอบความรักไว้ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน ซึ่งไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงิน
เมื่อผมตาย ผมเอาความร่ำรวยไปด้วยไม่ได้ สิ่งที่ผมจะนำติดตัวไปคือความทรงจำเกี่ยวกับความรักเท่านั้น ซึ่งเป็นความร่ำรวยที่แท้จริงและจะเป็นแสงนำทางให้กับเราต่อไป
ความรักจะติดตามเราไปได้ทุกที่ เพราะมันอยู่ในหัวใจและในมือของเราเอง
.
เตียงที่แพงที่สุดในโลกก็คือเตียงผู้ป่วย
คุณสามารถจ้างคนมาขับรถให้ มาทำงานหาเงินให้ แต่ไม่มีใครมาป่วยแทนคุณได้
สิ่งของใดๆ ที่หายไป เราอาจหาพบได้ แต่เราเอาชีวิตที่เสียไปกลับคืนมาไม่ได้
เมื่อเราเข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัด เราจะตระหนักได้ว่า เราใส่ใจสุขภาพของตัวเองน้อยเกินไป
แต่เรามักจะรู้ตัวเมื่อสายเกินไปเสมอ
จงให้ความรักกับครอบครัว กับคนรัก และเพื่อนๆ หมั่นดูแลสุขภาพของตัวเองและใส่ใจคนรอบข้างให้มากๆ
.
สิ่งที่พิสูจน์แล้ว เงิน เวลา สุขภาพ
สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด
เวลา และเงิน คือสิ่งสำคัญรองลงมา
.
ข้อมูลจาก http://www.naarn.com/11901/
.
☆☆☆☆☆☆


ข่าวลวงบนเฟซบุ๊ค ปัญหาเรื้อรังที่รอวันแก้ใข

กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันใหญ่โตเมื่อไม่นานนี้ กับกรณีของ Facebook ที่กลายเป็นเป้าโจมตีของหลายฝักหลายฝ่ายที่เชื่อว่าบน News Feed มีการแสดง “ข่าวลวง” ของการเลือกตั้ง จนมีผลทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องพลิกล็อคถล่มทลายด้วยชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” เหนือฮิลลารี คลินตัน ซึ่งประเด็นดังกล่าวถูกชี้แจงโดย Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook ที่ออกมายอมรับเองว่ามีการปล่อยข่าวลวงจริง แต่แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของผู้ใช้กว่าพันล้านคนเท่านั้นเอง … พร้อมรับปากว่าจะหาวิธีจัดการข่าวลวงให้ได้ ซึ่งหากมองในความเป็นจริงจะสามารถทำได้จริงหรือ ?

เราไม่ต้องไปมองไกลถึงอเมริกาครับ มองง่ายๆ ที่ประเทศไทย เชื่อว่าคนใช้ Facebook ในบ้านเรามีจำนวนมากและจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากนับรวมบรรดาแฟนเพจอีกหลากหลายประเภทด้วยแล้วก็ต้องยอมรับครับว่าบัญชีผู้ใช้ Facebook ในไทยมีเยอะมากๆ ด้วยความเป็นพื้นที่ที่เปิดให้บริการฟรี !! โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้ใครๆ ก็สามารถสร้างบัญชีส่วนตัวได้ สามารถเปิดแฟนเพจเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับการทำธุรกิจ เป็นพื้นที่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวสารพัดสิ่งอย่างได้ และยิ่งในยุคนี้ Facebook ได้กลายเป็นพื้นที่ใหม่ที่สื่อมวลชนนำมาใช้เพื่อนำเสนอข่าวสารต่างๆ นอกเหนือจากสื่อเดิม อาทิ ทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์
ด้วยความง่าย ในการสร้างบัญชี Facebook ทำให้ผู้คนบางกลุ่มสามารถใช้พื้นที่เพื่อสร้าง “ข่าวลวง” ซึ่งจุดประสงค์ของการกระทำดังกล่าวไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด อาจเกิดจากความต้องการยอด Like ยอดคลิกให้กับเว็บไซต์ ต้องการบิดเบือนความจริง สร้างทัศนคติที่ไม่ดีให้กับผู้อ่าน และที่ร้ายกาจที่สุด คือการสร้างความเกลียดชังให้กับตัวบุคคล โดยที่บุคคลนั้นอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวใดๆ เลยก็เป็นได้ ดังเช่น ข่าวลวงเมื่อเร็วๆ นี้ที่มีการโพสต์ข้อความว่า “มีพนักงาน KFC ใช้เท้าหมักปีกไก่ ก่อนนำไปทอด” แถมมีการนำหน้าของพนักงาน KFC ชายรายหนึ่งมาแสดงให้เห็นด้วย แต่สุดท้ายเมื่อมีการตรวจสอบพบกว่าข่าวดังกล่าวเป็น “เรื่องหลอกหลวง” และผู้ชายที่ถูกนำใบหน้าไปแอบอ้างก็ได้ออกมาชี้แจงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง (สามารถค้นหาได้จากแฟนเพจ Drama-addict)
กรณีดังกล่าวพบว่ามีการสร้างเว็บไซต์ปลอมขึ้นมา โดยชื่อเว็บมีความคล้ายกับชื่อของสำนักข่าวชื่อดังของเมืองไทยรายหนึ่ง และที่น่าเศร้าใจ คือ ผู้ใช้ Facebook บางรายกลับหลงเชื่อ มีการกด Like กดแชร์ พร้อมคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นาๆ ซึ่งส่วนหนึ่งของที่ทำให้ข่าวลวงเกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วก็ต้องยอมรับครับว่าด้วยปริมาณข้อมูลมหาศาลที่แสดงอยู่บน News Feed มีผลต่อ “สมาธิ” ของผู้ใช้ การพาดหัวข่าวให้ดูแรง มีภาพประกอบที่ดึงดูด สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้ รวมถึงเรื่องราวบางอย่างมีผลต่อความรู้สึก ตอบสนองต่อความคิดที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ จนทำให้ข่าวลวงมีการกด Like กดแชร์ อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการตรวจสอบที่มาที่ไปแต่อย่างใด

Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook
สถานการณ์ของข่าวลวงที่กำลังเป็นปัญหาของ Facebook ทำให้เกิดคำถามถึง Mark Zuckerberg ว่าจะมีวิธีการกำจัดข่าวลวงนี้ได้อย่างไร ? เพราะหากมองในความเป็นจริงแล้วจะพบว่าประชากรหลายพันล้านคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตและ Facebook ได้ สามารถสร้างบัญชี กำหนดชื่อ สร้างโปรไฟล์ขึ้นเอง ก่อให้เกิดการสร้างเรื่องราวที่ไม่เป็นจริงจากกลุ่มบุคคลที่แอบแฝงจุดประสงค์ร้ายได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ Facebook ทำได้ในเวลานี้ คือ การขอความร่วมมือให้ผู้ใช้ช่วยกันสังเกต ตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฏบน News Feed ให้มากขึ้นพร้อม “รายงานปัญหาโพสต์” (Report post) แถบเครื่องมือที่จะปรากฏอยู่ทุกโพสต์ เพื่อรายงานโพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวลวงไปยัง Facebook ขณะที่การคิดค้นอัลกอริธึมใหม่เพื่อนำมาใช้ตรวจสอบและกำจัดข่าวลวงคงไม่ง่ายนักที่จะทำให้เกิดขึ้นภายใน 1-2 วัน หาก Facebook ไม่สามารถคิดหาวิธีได้เอง การขอความร่วมมือจากบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นก็นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนก็คงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ Mark Zuckerberg
เราในฐานะคนใช้ Facebook ทำอะไรได้บ้าง
ถึงตอนนี้คงบอกไม่ได้หรอกครับว่า ข่าวลวงจะมีมาเมื่อไหร่ จะมากับเรื่องใดที่ทำให้คนหลงเชื่อ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้นหรือปรากฏบน News Feed สิ่งที่เราในฐานะผู้ใช้ Facebook ทำได้ คือ การใช้วิจารณญาณ สังเกตการพาดหัวข้อข่าว ลิงค์ที่นำมาโพสต์ให้มากขึ้น ใช้เวลาเพิ่มอีกนิดก่อนกด Like กดแชร์ หากลังเลว่าข้อมูลที่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ลองเช็คตามแฟนเพจของสำนักข่าวต่างๆ ว่ามีการนำเสนอข่าวนั้นหรือไม่ หากพบว่าเป็นข่าวลวงสามารถ “รายงานปัญหาโพสต์” (Report post) แจ้งไปยัง Facebook ได้ทันที แม้อาจจะต้องใช้เวลานานกว่า Facebook จะจัดการปัญหา แต่อย่างน้อยๆ การเริ่มต้นคนละไม้ คนละมือ ย่อมมีพลังมากกว่าเครื่องมือใดๆ เป็นไหนๆ ครับ

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวโดย 
Source : www.aripfan.com

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เตรียมเปิดเส้นทางเฟอร์รี่พัทยา-หัวหิน 12 ม.ค.60 นี้

เตรียมเปิดเส้นทางเฟอร์รี่พัทยา-หัวหิน 12 ม.ค.60 นี้ หลังอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบความปลอดภัยของตัวเรือ โดยจะนำเรือกันตามารัน นำเข้าจากประเทศจีน มาวิ่งเส้น

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/821793




วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Adapt or die

จุดหนึ่งของทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่เข้าใจผิดกันอย่างมโหฬารก็คือความเชื่อว่า “สัตว์แข็งแรงกว่าจะอยู่รอด สัตว์อ่อนแอกว่าจะสูญพันธุ์”

นี่เป็นจุดที่หลายคนรู้สึกว่า ‘รับไม่ได้’ เพราะชอบนำมาเปรียบเทียบกับคนว่า ผู้ที่แข็งแรงกว่าเอาเปรียบผู้อ่อนแอกว่า ซึ่งเป็นคนละประเด็นและคนละสาระกับทฤษฎีวิวัฒนาการโดยสิ้นเชิง

ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ได้พูดถึงความแข็งแรง-อ่อนแอ ไดโนเสาร์ซึ่งแข็งแรงกว่าสัตว์อีกจำนวนมากมาย สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว สัตว์ที่อ่อนแอกว่าเช่น แมลงสาบ มด ยุง ยังอยู่ดีกินดีจนทุกวันนี้

ถ้าไม่ใช่ความแข็งแรง แล้วเป็นเรื่องอะไร?

กฎของดาร์วินมีความหมายตามชื่อ Natural Selection แปลว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติ พูดง่ายๆ คือ ธรรมชาติเป็นกรรมการตัดสินชะตาชีวิตของสัตว์โลก กติกาคือใครรอดก็ชนะ

สมมุติว่าโลกเป็นเวทีมวย สัตว์ต่างๆ คือนักมวย นักมวยบนเวทีไม่จำเป็นต้องชกเก่งจึงชนะ แต่ผู้ที่อยู่ครบสิบห้ายกคือพวกที่ทำอะไรก็ได้ไม่ให้ถูกชกหรือถูกชกน้อยที่สุด อาจโดยการหลบ หลีก หนี อาจชกทีเผลอ ชกใต้เข็มขัด อาจแปลงโฉมตัวเองให้กลมกลืนกับเวทีจนสัตว์อื่นมองไม่เห็น หรือสร้างกลไกป้องกันการถูกทำร้าย ฯลฯ

‘กรรมการ’ คัดเลือก ‘ผู้ชนะ’ ของมันง่ายๆ คือ สัตว์ที่ปรับตัวได้ดีกว่ามีโอกาสอยู่รอดมากกว่าสัตว์ที่ปรับตัวไม่ได้

ดังนั้นสัตว์แข็งแรง กล้ามเนื้อหนาปึ๊ก เขี้ยวยาวสองศอก ตีนหนาเท่ารถถัง ถ้าปรับตัวไม่ได้ ก็ตายจากไป

นี่ก็เป็นจุดที่หลายคนรู้สึกว่า ‘รับไม่ได้’ เช่นกัน เพราะไม่ชอบใจว่าสัตว์ที่กะล่อนเอาเปรียบสัตว์อื่นเป็นผู้ชนะ

แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ใช่ระบบศีลธรรม มันเพียงชี้ให้เห็นว่าธรรมชาติทำงานอย่างไร

ความยุติธรรม ความดี เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์นำมาใช้เป็นมาตรตัดสินทุกอย่าง แต่ธรรมชาติไม่มีความดีกับความเลว ไม่มีความยุติธรรมกับอยุติธรรม มันเป็นของมันอย่างนี้เอง

A-D

Adapt or die

แข็งแรงไม่ได้แปลว่าตายไม่ได้ ใหญ่ไม่ได้แปลว่าล้มไม่ได้

สัจธรรมนี้ใช้อธิบายชีวิตทั้งหลายในธรรมชาติ ธุรกิจ ไปจนถึงวิธีการใช้ชีวิตของเรา

องค์กรใหญ่แข็งแรง ทุนมหาศาลในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าปรับตัวไม่ได้ ก็ล้มได้ และล้มเสมอมา

A-D

Adapt or decay

ระบบการศึกษาก็ต้องปรับตัว ปรับตัวไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงของโลก ก็ A-D

Adapt or decline

คู่แต่งงานที่ไม่ปรับตัวเข้าหากันหรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภายนอก ก็อาจต้อง A-D

Adapt or divorce

หลายอาชีพก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เพราะสภาพสังคม สภาพโลกเปลี่ยนไปตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่นนักเขียน ถ้าปรับตัวไม่ได้ ก็ต้องเจอ A-D เหมือนกัน

Aod Dak (อดแดก)

……………….

ขอขอบคุณบทความโดย: วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/winlyovarin/


วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ตลาดดอกไม้ไฟระเบิดที่แม็กซิโก






Source : CNN
Just in: Blast at Mexico fireworks market injures dozens http://cnn.it/2h9Tl7Y

สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่มอบให้...อาจเปลี่ยนชีวิตใครบางคน

ขอเพียงที่พักใจ
ใครจะไปรู้ว่า...สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่มอบให้...อาจเปลี่ยนชีวิตใครบางคน

เคซี่ ฟิชเชอร์ แวะไปรับประทานอาหารเช้าที่ร้าน ดังกิ้งโดนัทก่อนไปมหาวิทยาลัย ที่นั่นเธอเห็นชายไร้บ้าน คนหนึ่งร้องเพลงและกำลังก้มๆ เงยๆ นับเศษเหรียญอยู่ข้างถนน ในที่สุดเขาก็เข้ามาในร้าน ขณะที่เขากำลังนับเงินเพื่อจะซื้ออาหาร เธอก็หงุดหงิดจึงเริ่มพูดคุยกับเขา แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้อยากจะคุยด้วย  ดูเหมือนว่าเขาจะมีเงินไม่พอ? สุดท้านเธอจึงซื้อกาแฟและเบเกิ้ลให้เขา ชวนเขามานั่งที่โต๊ะด้วยและชวนเขาคุย

ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยอยากจะคุยนัก แต่สุดท้ายพวกเขาก็คุยกันเป็นชั่วโมง เขาเล่าว่าคนส่วนมากจะใจร้ายกับเขาเพราะเขาเป็นคนเร่ร่อน และยาเสพติดเปลี่ยนเขาไปและเขาก็รังเกียจตัวเองที่เป็นแบบนี้ เขายังเล่าถึงพ่อแม่ว่า แม่เขาตายจากโรคมะเร็งและเขาไม่เคยรู้จักพ่อ และเขาอยากเป็นลูกที่ดีที่ทำให้แม่ภูมิใจ

หลังจากคุยกันอยู่นาน เมื่อถึงเวลาต้องไปเรียน เธอก
ล่าวอำลา แต่ผู้ชายไร้บ้านชื่อว่า Chris บอกว่าให้เธอรอก่อนและเขาก็รีบเขียนข้อความลงด้านหลังของใบเสร็จ เขายื่นกระดาษให้เคซี่ บอกขอโทษเธอที่เขาลายมือไม่สวย ยิ้มและจากไป

Casey ก้มอ่านข้อความจากกระดาษ คริสเขียนว่า

"ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตายวันนี้ แต่เป็นเพราะคุณ ตอนนี้ผมเลยไม่ทำมัน ขอบคุณนะ คุณเป็นคนที่แสนดี"

มันเหมือนกับว่าการพบกันของพวกเขาเป็นลิขิตที่ทำให้ชีวิตเขาทั้งสองคนเปลี่ยนไปและยังทำให้เราเห็นว่าเมตตาเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถส่งผลอันยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของใครบางคนได้

#ความสุขจากการให้ #ความสุขประเทศไทย #ความสุขคนสุรินทร์

ที่มา : https://www.facebook.com/caseyx014

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สำนักพระราชวัง แจ้งในวันขึ้นปีใหม่ งดการสักการะพระบรมศพ ในหลวง ร.๙

วันนี้ (20 ธ.ค. 59) สำนักพระราชวัง แจ้งว่า เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 1 มกราคม 2560 ตั้งแต่เวลา 07.30-17.00 น.และของดการถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เป็นเวลา 1 วัน
สำหรับเจ้าภาพพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังคงมีตามปกติ

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เริ่มเเล้ว งาน เดินกินถิ่นนาเกลือ ประจำปี 2559 ณ ตลาดเก่านาเกลือ ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เวลา 17.00 -22.00 วันที่ 17 ธ.ค ถึง 5 มี.ค 60









Cr : เฟซบุ๊คแฟนเพจ เรารักพัทยา

สายกิน ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด เริ่มเเล้ว งาน เดินกินถิ่นนาเกลือ ประจำปี  2559 ณ ตลาดเก่านาเกลือ ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เวลา 17.00 -22.00 วันที่ 17  ธ.ค ถึง 5 มี.ค 60 พลาดเเล้วจะเสียใจ

ขอบคุณภาพ กิตติภพ อาญาสิทธิ์

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

11 ข้อความโดนใจ

1. Say 'Love' คำว่า 'รัก' พูดง่ายนิดเดียว แต่อยู่ที่ว่าคุณกล้าที่จะพูดหรือไม่ คำว่า ' รัก ' คำเดียวสามารถสร้างปรากฏการณ์แห่งรัก สร้างความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความรู้สึกสุขใจกับคนที่คุณรัก และอาจเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างให้กับชีวิตคุณด้วย ไม่เชื่อก็ลองดู
2. Married การแต่งงานเป็นความฝันสูงสุดของผู้หญิงทั่วไป การได้มีสามีและลูกที่น่ารักช่วยเติมเต็มชีวิตของคุณให้มีความสุขสมบูรณ์ มีสายใยแห่งความเอื้ออาทรต่อกัน และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าชีวิตนี้เราก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกรัก และมีค่าสำหรับใครค นหนึ่งเช่นกัน
3. Best Friend เพื่อน...หาที่ไหนก็หาได้ แต่จะหาเพื่อนแท้สักคนนี่สิหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก ไม่ว่าคุณจะทำอะไรถูกหรือผิด คุณจะเจอปัญหาหนักหนาสาหัสแค่ไหน เพื่อนแท้เท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างคุณ คอยเป็นกำลังใจ เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นเพื่อนแก้เหงา เป็นคนที่ทำให้คุณสนุกสนาน เฮฮา หากคุณมีเพื่อนแท้แล้วจงรักษาเขาเอาไว้ให้ดี
4. Travel หากชีวิตที่ผ่านมาคุณมัวหมกมุ่นอยู่กับการทำงานเพียงอย่างเดียว และซีเรียสกับการใช้ชีวิตว่าจะต้องเกิดประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้มากจนเกิน ไป พานแต่จะทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ในวันหยุดที่จะถึงนี้ลองหาสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อน เพื่อเติมพลังชีวิตให้กลับมาสดใสมีชีวิตชีวาดีกว่าค่ะ
5. Drunk ลองใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงดูสักครั้ง เติมชีวิตให้มีสีสัน เฮฮา ปาร์ตี้ให้สุดๆ กับเครื่องดื่มที่จะทำให้คุณลืมโลก ลืมปัญหา และความวุ่นวายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ขอเตือนว่าอย่าเมาจนหัวทิ่มกันทุกวันนะคะ ไม่อย่างนั้นคุณคงได้ลืมโลกใบนี้ไปจริงๆ
6. Live Without TV ชีวิตคนเราทุกวันนี้โดนแทรกแซงจากสิ่งประดิษฐ์ และข่าวสารต่างๆ มากมายจนทำให้ชีวิตเรายุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาได้อยู่กับตัวเอง โดยเฉพาะโทรทัศน์ที่มีกันแทบจะทุกบ้าน กลับบ้านปุ๊บเป็นต้องหยิบรีโมตขึ้นมากด และหมดเวลาไปกับการนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์และเปลี่ยนช่องดูไปเรื่อยๆ คุณลองอยู่อย่างไม่มีโทรทัศน์ดูสักวันสิคะ แล้วคุณจะรู้สึกว่าวันนั้นคุณทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเองได้มากที เดียวค่ะ
7. Own House บ้าน คือวิมานของเรา แต่หากเราไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านนั้นก็อาจไม่ใช่วิมานของเราก็ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองทำงานเก็บเงินและซื้อบ้านเป็นของตัวเองสักครั้งในชีวิต รับรองว่าคุณต้องภูมิใจและมีความสุขกับบ้านที่คุณได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของ ตัวเองอย่างแน่นอน
8. Forgiveness เมื่อใดที่มีคนมาทำร้ายเรา หากเรามัวแต่โกรธและจ้องที่จะทำร้ายเขากลับ ความแค้นนี้คงไม่จบไม่สิ้นลงได้ง่ายๆ แต่คุณจงเข้าใจกับความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ไม่มีใครหรอกที่จะไม่เคยทำผิดพลาด ไม่มีใครที่ดีพร้อม ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้ และยอมรับมัน เราก็จะมีความสุขกับชีวิตที่รู้จักการให้อภัยมากขึ้น9. Be Happy ชีวิตคนเราเกิดมาสั้นนัก ไม่รู้จะมานั่งเศร้าหมองให้ชีวิตห่อเหี่ยวไปทำไม จงมีความสุขและเอน จอยกับสิ่งที่ทำ หรือหากมีปัญหาที่ทำให้ทุกข์ใจ ก็อย่าได้ทุกข์กับมันซะนาน ทางที่ดีหาทางแก้ไขและอยู่กับมันอย่างแฮปปี้จะดีกว่าค่ะ
10. Donate Blood การทำบุญอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน ( ไม่เป็นเอดส์ ) ก็ทำให้เหมือนกันนั่นก็คือ การบริจาคโลหิตเพื่อต่อชีวิตให้กับคนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ คนคนนั้นอาจเป็นผู้นำครอบครัวที่หาเลี้ยงลูกเมีย หากขาดเขาไปสักคน ครอบครัวหนึ่งอาจต้องประสบกับความโหดร้าย ดังนั้นคุณจงภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือคนอีกหลายชีวิต แม้จะเป็นทางอ้อมก็ตาม
11. Donate Body ขณะที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราต่างเห็นสิ่งเลวร้ายและความสูญเสียมานับไม่ถ้วน แต่หากเรามีโอกาสได้ลองบริจาคอวัยวะเมื่อตายไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่ ต้องการ คุณคิดดูสิคะว่ามันจะดีกว่าที่จะต้องเอาร่างที่ไร้วิญญาณนั้นไปฝังหรือไปเผา กว่าเป็นไหนๆ เรียกว่า ตายไปก็ไม่เสียดายชีวิต จริงไหมคะ


วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559

"เดินกินถิ่นนาเกลือ ปีที่ 8 ประจำปี 2560" ณ ตลาดเก่านาเกลือ

กลับมาอีกครั้ง!!! กับถนนคนเดินย่านค้าขายแบบตลาดโบราณที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในงาน..."เดินกินถิ่นนาเกลือ ปีที่ 8 ประจำปี 2560" ณ ตลาดเก่านาเกลือ ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ จัดหนัก!จัดเต็ม! 17 ธันวาคม 2559-5 มีนาคม 2560 พบกับกิจกรรมการออกร้านของชุมชนต่างๆ มากมาย อาทิ สินค้า ผลิตภัณฑ์หลากหลาย อาหารพื้นเมือง อาหารทะเลสดๆ อร่อยและราคาย่อมเยา ในบรรยากาศชุมชนย้อนยุคที่ยังคงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านไว้อย่างลงตัว พร้อมชมคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำทุกวันเสาร์ และการแสดงทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย

สนุกครบรส! มาร่วมชม ชิม ช้อป แชะ พร้อมทั้งร่วมแชร์ความสุขกันแบบชิลๆ ได้ทุกเย็นวันเสาร์และวันอาทิตย์ ในงาน "เดินกินถิ่นนาเกลือ ปีที่ 8 ประจำปี 2560" ณ ตลาดเก่านาเกลือ เริ่ม..เสาร์ที่ 17 ธันวาคมนี้! พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง!!!

ขอขอบคุณรูปประกอบจากเฟซบุ๊๊ค : ipattaya


วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เพชรน้ำเอก ในบวรพระพุทธศาสนา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) โดย - พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

หลังจากที่ชาวไทยกำลังตกอยู่ในภาวะโศกเศร้า อาดูรต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเวลาเดือนกว่า พระองค์ทรงมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ชาวไทย คือ  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์อุ่นใจ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา  

และในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ หรือวันพ่อ ที่เราประทับไว้ในดวงใจตลอดกาล เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) สมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นี่คือข่าวดีที่ชุบชีวิตชีวาให้พวกเราชาวพุทธเป็นอย่างมาก ที่ท่านเจ้าประคุณ ป.อ.ปยุตฺโต ได้รับการถวายโปรดเกล้าฯ จากชั้นพรหมขึ้นเป็น สมเด็จฯ นับเป็นสมเด็จรูปสุดท้ายในรัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์รูปแรกในรัชกาลที่ ๑๐ เลยในคราวเดียวกัน 
เพชรน้ำเอก ในบวรพระพุทธศาสนา
ใครที่เคยไปกราบนมัสการท่านเจ้าประคุณประยุทธ์ หรือฟังธรรม อ่านหนังสือ ศึกษางาน จริยวัตรของท่าน ก็คงทราบว่าท่านเป็นพระที่เรียบง่ายมาโดยตลอด ผู้เขียนเคยไปเยี่ยมบ้านเกิดท่านที่ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ผู้นำชุมชนที่นั่นก็ยังคงรักษาสภาพเดิมไว้ ปัจจุบันเป็น "ชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต" จัดตั้งขึ้นโดยมูลนิธิ ชาติภูมิ ป.อ.ปยุตฺโต โดยทุนบริจาคจากชาวท้องถิ่นเป็นส่วนสำคัญเพื่อเชิดชูเกียรติแก่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และเป็นศูนย์ข้อมูลชีวประวัติและผลงานของนักปราชญ์แห่งยุคสมัย 
ผมเข้าไปกราบรูปท่าน เดินสำรวจอย่างละเอียด เดินขึ้นไปชั้นสอง นั่งลงบนพื้นไม้ ทำสมาธิครู่หนึ่งเพื่อเป็นอาจาริยบูชา เกิดความอิ่มเอมใจที่สุด
ความอาพาธ เสมือนเป็นวิบากของสังขารร่างกายของท่าน ที่ต้องเผชิญมาตั้งแต่วัยเด็ก จนท่านสามารถใช้ธรรมะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควบคุมไว้ได้ทั้งหมด ควบคุมได้ในที่นี้ มิได้หมายถึง ไม่ให้เกิดความเจ็บป่วยแก่ร่างกาย แต่ฝึกจิตมิให้เกิดความทุกข์ต่างหาก ท่านเล่าไว้ว่า...
...พระพุทธองค์เคยตรัสสอนไว้ว่า ให้ทำในใจ ตั้งใจไว้ว่า “ถึงแม้ร่างกายของเราจะป่วย แต่ใจของเราจะไม่ป่วยไปด้วย” การตั้งใจแบบนี้เรียกว่า “มีสติ” ทำให้จิตใจไม่ตกอยู่ในอำนาจครอบงำของความแปรปรวนทางร่างกายนั้น เมื่อมี “สติ” อยู่ ก็รักษา “ใจ” ไว้ได้... 
“กาย” เป็นหน้าที่ของแพทย์ แพทย์ก็รักษาไป แต่ “ใจ” นั้นเป็นหน้าที่ของเรา เราต้องรักษาใจของตนเอง... จริงอยู่ เป็นธรรมดาที่ว่า ทุกขเวทนา ความเจ็บปวดต่างๆ ความอ่อนแรง กำลังของร่างกายนั้น ย่อมมีผลต่อจิตใจ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้เสมอว่า ให้รักษา “ใจ” ของตนเอง รักษาด้วยอะไร ก็รักษาด้วย “สติ” อาจจะเป็นคำภาวนาไว้ในใจตลอดเวลาก็ได้ว่า กายป่วยใจไม่ป่วย กายป่วยใจไม่ป่วยๆๆ อยู่เสมอ ใจเรา ก็จะไม่เลื่อนลอย เคว้งคว้างไป (อ้างอิง...หนังสือ “รักษาใจยามป่วยไข้” กองทุนวุฒิธรรม ๒๕๓๕)
๒๐ กว่าปีที่แล้ว ผมเคยนำประโยคนี้ พูดให้สติคุณพ่อตัวเอง ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ซึ่งเป็นการเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกในชีวิตชายวัย ๗๐ กว่า ชาวจีนโพ้นทะเลจากแผ่นดินใหญ่ สีหน้าที่วิตกและจิตใจที่กำลังหวาดกลัวของท่าน เป็นอันระงับไป
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังมีไหวพริบในคำอรรถาธิบายธรรมของท่าน ให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างเช่นเรื่องหลักอริยสัจ ๔ ท่านสอนไว้ว่า...
ทุกข์คือตัวปัญหา เรามีหน้าที่ต่อมันอย่างไร ก็คือ หน้าที่ที่ต้องทำความรู้จัก (ทุกข์ ต้องกำหนดรู้) ปัญหาของเราคืออะไร ขอบเขตของมันอยู่ที่ไหน อะไรเป็นที่ตั้งของปัญหา ถ้าจับไม่ถูกก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้ จับตัวปัญหาให้ได้เสียก่อน แล้วเรียนรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปัญหานั้นทั้งหมด...
สมุทัยคือเหตุของทุกข์ สืบสาวหามันให้พบ กระบวนการที่ทำให้มันเกิดขึ้นเป็นอย่างไร (ปฏิจจสมุปบาท) แล้วกำขัดมันเสีย (สมุทัย ต้องละ)
นิโรธคือความดับทุกข์ สภาวะปราศจากปัญหา เป็นความมุ่งหมายของการแก้ปัญหาสำเร็จแล้ว คืออะไร (นิโรธต้องทำให้แจ้ง)
และอริยสัจข้อสุดท้าย มรรค ทางเดิน ก็คือข้อปฏิบัติ ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องลงมือทำ ตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ ไตรสิกขา (มรรคต้องเจริญ) ... ฯลฯ
  นอกจากนี้ ท่านยังสรุปคุณค่าที่เด่นของหลักอริยสัจ ไว้ว่า
๑. เป็น วิธีการแห่งปัญญา แก้ไขปัญหาตามระบบเหตุผล
๒.เป็นวิธีจัดการกับชีวิตของตนด้วย สติปัญญาของมนุษย์เอง
๓ เป็นความจริง ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และเกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน
๔.เป็นหลักความจริงกลางๆ ที่ติดเนื่องอยู่กับชีวิต หลักอริยสัจนี้ยังคงยืนยงและใช้ประโยชน์ได้ตลอดทุกกาล
หากสังเกตงานเขียน ตำราต่างๆ ของท่าน จะพบว่า ท่านใช้ความพยายามอุตสาหะอย่างเต็มที่ เพื่อจะรวบรวม เรียบเรียงให้งานออกมาที่สมบูรณ์ที่สุด แม้จะต้องใช้เวลาถึงสิบกว่าปี ในบางเล่ม เช่น หนังสือพุทธธรรม ซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่าความเพียรของท่านจริงๆ เพราะนับเป็นงานเพชรน้ำเอกในวงการพุทธศาสนา ชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ท่านเป็นผู้ริเริ่มนำพระไตรปิฎกลงซีดีรอมด้วย ผมรู้สึกนับถือจากใจจริง เพราะนอกจากท่านจะรู้จริง สร้างงานได้ยอดเยี่ยมแล้ว ท่านยังเป็นพระที่สมถะ ไม่สนใจในลาภ ยศ สรรเสริญอีกต่างหาก  ท่านมักเขียนระบุไว้ท้ายหนังสือบางเล่มที่ท่านเขียน หรือกล่าวไว้ในโอกาสต่างๆ กัน ทำนองว่า... หากท่านผู้อ่าน ได้ประโยชน์จากงานชิ้นนี้ ผู้เขียนก็ขออนุโมทนาด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องมาหา หรือมาเยี่ยมเยียนตัวผู้เขียนแต่อย่างใด  
ความหมายนั้น ไม่ใช่ว่า ท่านไม่อยากให้พบ แต่เมื่อใครอ่านงานท่าน แล้วพบธรรมะ คือความสงบเย็นในใจ แก้ปัญหาชีวิตตนเองได้ นั่นก็คือ ผู้นั้นมีธรรมะแล้ว ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น
ความสม่ำเสมอของท่านนั้น ความไม่ยึดมั่นในอัตตาหรือยึดติดในทิฐิ ยังเป็นเช่นนั้นเสมอมา ดูจากคำสัมโมทนียกถา ที่ท่านกล่าวไว้เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ที่ผ่านมา ...
สัมโมทนียกถา... สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์  ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เวลา ๒๐.๓๐ น. "การได้รับสมณศักดิ์อะไรต่าง ๆ ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าวันนี้คือวันที่ ๕ ธันวาคม สำคัญกว่าที่พวกเราจะต้องสำนึกในพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่มีต่อบวรพุทธศาสนา...คาดเดาจากความเป็นจริง...เพราะอาตมาไม่เคยเข้าวัง ออกงานหลวงใด ๆ เลยมา ๒๕ ปี ย้ายไปอยู่ตามดงตามป่ามากกว่าอยู่วัดญาณเวศกวัน แต่สิ่งที่ไม่เคยหยุดเลยคือการแต่งหนังสือ...และสิ่งนี้เองก็ไม่ได้เล็ดลอดสายพระเนตรของในหลวงรัชกาลที่ ๙... เรื่องสมณศักดิ์เลื่อนกันไปเรื่องของในรั้วในวัง แต่พระก็ยังเป็นพระคนหนึ่งเหมือนเดิม จะเรียกท่านเจ้าประคุณอะไรก็ไม่สำคัญ ก็เป็นหลวงปู่หลวงพ่อนั่นล่ะ... ต่อไปนี้ก็ต้องดูว่าสิ่งที่ต้องทำกับสิ่งที่ต้องเป็นจะเป็นอย่างไร.... ขอบพระคุณพระมหาเถระทุกท่าน และขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกท่าน"
นี่ล่ะครับ ชัยมงคลแห่งชาติ หน่อเชื้อแห่งการสืบพระศาสนาของเรา พระสมเด็จรูปสุดท้าย ที่ได้รับสมณศักดิ์จากการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ท่านมิได้ติดในสมณศักดิ์ใดๆเลย ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งมา ท่านจึงปรารถนาให้เรียกท่านอย่างเรียบง่าย แบบเดิมๆ ว่า หลวงพ่อ หลวงปู่ พระอาจารย์
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุการครับ
พระเสาหลัก Low profile อยู่เบื้องหลัง
ไม่โด่งดัง แต่บารมี กลับสาดแสง
เรืองรองทั่ว สยาม ข้ามถึงต่างแดน
ท่านแน่นแฟ้น ในแก่นธรรม เสมอมา
ไม่ฉาบฉวย สร้างแบรนด์ สำแดงภูมิ
ไม่ชักจูง ศิษย์ใด ให้โหยหา (ศรัทธา)
ปลีกวิเวก อยู่แต่ป่า เขียนตำรา
ยังย้ำว่า ไม่ต้องมา กราบเยี่ยมเยียน
แม้อาพาธ มาแต่เกิด ยังเฉิดฉาย
  คงรักษา ธรรมวินัย ไม่ผิดเพี้ยน
  ร่างกายพร่อง ใช่ขัดข้อง ซึ่งความเพียร
  สร้างงานเขียน เพชรน้ำเอก เป็นหลักฐาน
เป็นอาจารย์ ของพระ ในทุกสาย
พิสุทธิ์ใส ไร้มลทิน ศีลของท่าน
สมเด็จพระ พุทธะ โฆษาจารย์
พระนามท่าน สร้างมงคล แก่ชนชาติไทยฯ  
ล้อมกรอบ 
ชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต
ที่ตั้ง:เลขที่ ๔๙ หมู่๓ ตลาดศรีประจันต์ ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรีโทรศัพท์ ๐-๓๕๕๔-๘๗๒๒ เวลาทำการ:ทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เว้นวันจันทร์ (ไม่หยุดในวันนักขัตฤกษ์) เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. ไม่เสียค่าเข้าชม
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก คม ชัด ลึก
Cr : http://www.komchadluek.net/news/amulets/252318

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปลาทูไหม้..

โครตซึ้ง!! สามีภรรยาทำงานหนักมาทั้งวัน..พอถึงบ้านภรรยาทอด “ปลาทูไหม้” ให้ทานอีก สามีจึงต้องพูดแบบนี้..ทำเอาน้ำตาไหลพราก!!
ชอบเรื่องนี้มาก อ่านบ่อยๆ เตือนตัวเอง

เรื่องปลาทูไหม้..

“แม่ของผม เป็นคนทำ อาหารที่บ้านประจำ ทุกวัน… คืนหนึ่ง หลังจากที่ แม่ทำงานหนัก มาตลอดทั้งวัน แม่ กลับบ้านมา ด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็น ให้เราตามปกติ ที่โต๊ะอาหาร แม่วางจาน ที่มี ปลาทูไหม้เกรียม บนโต๊ะ ต่อหน้าพ่อ และทุกๆคน ผมรอว่า แต่ละคน จะว่าอย่างไร
แต่… พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตา กิน ปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมา ถามผมว่า ที่โรงเรียน เป็นอย่างไรบ้าง

คืนนั้น หลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า ได้ยิน แม่ ขอโทษพ่อ ที่ทอดปลาทูไหม้ และ ผมไม่เคยลืม ที่พ่อ
พูดกับแม่เลย “โอย… ผมชอบ ปลาทูทอด เกรียมๆ อร่อยมาก นะแม่”

คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจ ก่อนนอน และถามพ่อว่า “พ่อชอบปลาทูทอด เกรียมๆ จริงๆ เหรอ”
พ่อลูบหัวผม และตอบว่า
“แม่ของลูก
ทำงานหนัก มาทั้งวัน…
ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูด ที่ต่อว่า กันนั้นต่างหาก ที่จะทำร้ายกัน”

“ชีวิตคนเรา
เต็มไปด้วย ความไม่สมบูรณ์แบบ และ แต่ละคน ก็ ไม่ได้เกิดมา สมบูรณ์แบบ
ตัวเราเอง
ก็ไม่ได้มีอะไร ดีกว่าใครๆ”ปลาทู

แต่สิ่งที่ พ่อเรียนรู้ ในช่วงชีวิต คือ…..

การเรียนรู้ ที่จะยอมรับ

ความผิด ของคนอื่น และ ของตัวเอง

การเลือก ที่จะยินดีกับ

ความคิดต่างกันของ

แต่ละบุคคล เป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษา ชีวิตครอบครัว ที่มีความสุข และยืนยาว

“ชีวิตเรา สั้นเกินกว่า ที่จะตื่นขึ้นมา พร้อมกับ
ความเสียใจ ที่ว่า เราทำผิดกับ คนที่เรารัก
และรักเรา ให้ดูแล และ
ทะนุถนอม คนที่รักเรา และพยายามเข้าใจ และให้อภัย จะดีกว่า”

** ถ้าเรารู้ เราจะ ทำไหม? **

• เราจะบีบแตร ใส่คนที่ ยืนยึกยัก ริมถนน แยกที่ผ่านมาไม๊– ถ้าเรารู้ว่า เค้าใส่ขาเทียม

• เราจะเบียดชน คนข้างหน้า ที่เดินช้ามากไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า เค้าเพิ่งตกงาน

• เราจะขำ คนที่ แต่งตัวเชยไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า เค้ามีชุดเก่ง แค่ชุดเดียว

• เราจะรำคาญ สาวโรงงาน ที่มาเดิน พารากอนไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า นั่นคือ

การฉลองวันเกิดของเธอ

• เราจะหมั่นไส้ ลุงที่หัวเราะ
เสียงดังลั่น คนนั้นไม๊ – ถ้ารู้ว่า แกเป็นมะเร็ง ขั้นสุดท้าย

• เรารู้แจ่มชัดเสมอ
ว่าชีวิตเรา กำลังเจออะไร

แต่เรา ไม่มีวันรู้ว่า
“คนที่เราเจอ – กำลังเจอ กับอะไร”

-------Advertisement----------

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ถ้อยธรรมกถา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธิ์ ปยุตฺโต) 5 ธันวาคม 2559


"พระนั้น  จะแต่งตั้งไปชั้นไหน ชั้นไหน
ก็ยังเป็นพระอยู่เหมือนเดิม
ทางพระพุทธศาสนา ท่านไม่นิยมถามว่า "จะเป็นอะไร"
แต่สำคัญที่ว่า "จะทำอะไร"
ให้เรื่อง "เป็น" มาเกื้อหนุน เรื่อง "ทำ" ให้ได้
ท่านจึงว่า "ให้เป็นนั่นเป็นนี่ เพื่อจะได้ทำนั่นทำนี่ได้สะดวกขึ้น"

ถ้อยธรรมกถา
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ประยุทธิ์ ปยุตฺโต)
๕ ธันวาคม  ๒๕๕๙



ในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ ฯทรงโปรดฯสถาปนาพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามจารึกในชั้นสุพรรณบัฎว่า "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ปาพจนดิลกวรานุศาสน์ อารยางกูรพิลาสนามานุกรม คัมภีรญาณอุดมวิศิษฏ์ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี"

สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ สถิต ณ วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม

๕ ธันวาคม ๒๕๕๙

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2559

โลกต้องการคนดี ไม่ใช่เพื่อให้มารับรางวัล ( ป.อ.ปยุตฺโต )

โลกต้องการคนดี
ไม่ใช่เพื่อให้มารับรางวัล
แต่เพื่อมาช่วยกันทำชีวิต
และสังคมให้ดีขึ้น
( ป.อ.ปยุตฺโต )

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Condo for sale !!


Condo For Sale !!
Special Offer 
5.0 MBOnly

ขายด่วน คอนโดหรู 
ทำเลทอง หาดจอมเทียน พัทยา
เพียง 5 ล้านบาทเท่านั้น

(ติดต่อกับเจ้าของโดยตรง)
Tel : 08-0830-9708
JEE  จิ (Owner)

ด่วน !!!

**สุดพิเศษ เจ้าของจะไปอยู่ต่างประเทศ**
ปริ้นต์หรือโชว์หน้าโฆษณานี้เพื่อยืนยันราคานี้ไม่ผ่านนายหน้า



3 เหตุผลที่ทำไมบริษัทดัง "กูเกิ้ล" ไม่สนใจ "จ้างงาน" คนที่จบจากมหาลัยดังๆ




ข้อมูลข่าวโดย : 
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์






บริษัทดังระดับโลก กูเกิ้ล ซึ่งด้านหนึ่งกูเกิ้ลมีการวิเคราะห์กลุ่มบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำงานกับกูเกิ้ล โดยไม่ได้นำเรื่องของเกรดเฉลี่ย โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยดัง และกลุ่มที่แสดงออกว่าฉลาดเฉลียวระหว่างการสัมภาษณ์งานมาเกี่ยวข้อง

ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ของหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการณ์ด้านบุคลากรของกูเกิ้ล ลาซโล บ๊อก ได้เล่าถึงรายละเอียดบุคลากรที่กูเกิ้ลมองหามาร่วมงานให้ฟัง และแน่นอนไม่ได้เกี่ยวกับโพรไฟล์ส่วนตัวอะไรด้วย

--กูเกิ้ล บอกว่า ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ มีโอกาสที่จะขาดสิ่งที่เรียกว่า "ความอ่อนน้อมถ่อมตนทางปัญญา"


ขยายความได้ว่า คนที่เพิ่งเรียนหนังสือจบในแบบที่คะแนนเกรดเฉลี่ยดีเข้าข่ายประสบความสำเร็จในอายุยังน้อยอาจจะปรับตัวยากในการเรียนรู้อะไรที่ท้าทายเพราะคิดว่าไม่สามารถที่จะล้มเหลวได้

กูเกิ้ลจึงมองหาคนที่สามารถจะยอมถอยและรับฟังให้เกียรติความคิดคนอื่นๆถ้านั่นเป็นสิ่งที่ดีกว่าเรียกว่ามีความอ่อนน้อมถ่อมตนทางปัญหานั่นเอง เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ ก็ยากที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หรือไม่สามารถเรียนรู้อะไรจากความล้มเหลวได้

--กูเกิ้ล บอกว่า คนที่สามารถทำอะไรเจ๋งๆได้โดยไม่ต้องมีคำว่า "มหาวิทยาลัย"มาเกี่ยวข้อง มักจะเป็นกลุ่มคนที่มี "ความโดดเด่น" อยู่เสมอ

"บ๊อก" หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการณ์ด้านบุคลากรของกูเกิ้ล ให้ความเห็นว่า หลายครั้งที่พบว่าบุคลากรในหลายที่ตามที่ทำงานต่างๆใช้ความเป็นสถาบันการศึกษามาช่วยเป็นไม้ค้ำให้ตัวเองและมันก็ไม่ได้ผล(บ๊อก : ใช้คำว่า ไม้ยันรักแร้ช่วยพยุง)

บ๊อกมองว่าระบบการศึกษาขณะนี้ไม่ได้ให้การเรียนรู้ที่จะเป็นประโยชน์ในโลกการทำงาน

--กูเกิ้ล บอกว่า ความสามารถในการเรียนรู้เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าไอคิว


ด้วยแนวคิดวที่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จทางวิชาการหรือการศึกษาไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ที่บอกได้ว่าจะมีความสามารถในการทำงานเสมอไป

"บ็อก" กล่าวว่า ระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยสามารถสร้าง "สภาพแวดล้อมเทียม" ขึ้นมาได้ นั่นคือการสร้างเงื่อนไขเฉพาะทางขึ้นมา เป็นต้นว่าเรื่อง "ไอคิว" ซึ่งเขามองว่า "ไอคิว" มีค่าน้อยกว่าการเป็นคนที่มีความสามารถในการที่จะเรียนรู้ หรือคนประเภท On the fly (คนที่สามารถปรับตัว เปลี่ยนแปลงได้ดีและรวดเร็ว) ซึ่งกูเกิ้ลจะประเมินโดยการใช้การสัมภาษณ์ที่พิจารณาผ่านพฤติกรรมด้วย

"การหาคนของกูเกิ้ล จึงเน้นหาคนที่สามารถที่จะเรียนรู้ และมีความสามารถในการปรับตัวทันท่วงที ไม่ได้เน้นต้องการหาคนแนวที่เคยเป็นผู้นำชมรมต่างๆในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย แต่เราหาคนที่มีความสามารถจะก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำในยามที่มีสถานการณ์จำเป็น"

เครดิต: ประชาชาติฯออนไลน์แปลและเรียบเรียง

รีไทร์พระ บทความโดย : วินทร์ เลียววาริณ

ชาวพุทธแต่โบราณมีกฎกติกาจัดการกับพระไม่ดีอย่างชัดเจนและเข้มงวด ผู้ที่บวชแล้วทำให้ศาสนาเสื่อม จะถูกอัปเปหิจากวัดทันที

อย่าว่าแต่การทำผิดวินัยสงฆ์เลย แม้แต่พระที่ไม่มีความรู้ทางธรรม บวชแล้วไม่ศึกษาจนรู้ ก็ให้สึกเหมือนกัน

พระพรหมคุณาภรณ์เคยเล่าว่า ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีหน่วยทดสอบความรู้ของพระ ถ้าพระผู้เข้าสอบไม่รู้พอ กรรมการก็จะยื่นผ้าขาวให้ เป็นความหมายว่าให้สึกเสียนะ

สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็มีกองสอบความรู้เหมือนกัน สอบไม่ผ่าน ก็รีไทร์สถานเดียว

สมัยนี้ถ้าให้พระทั้งประเทศสอบแบบนี้ เราอาจเหลือพระน้อยลงไปมาก

ก็เหมือนทุกระบบที่เมื่อคนรักษากฎอ่อนแอ กฎก็หย่อนยาน มีตัวอย่างในบ้านเรามากมายจนเบื่อหน่าย

ถ้าเป็นพระระดับเล็กๆ หนีเที่ยวกลางคืนหรือพาสีกาเข้ากุฏิ ก็ถูกจับสึกทันทีทันใจ เจ้าหน้าที่มาเร็วเคลมเร็ว

ถ้าเป็นพระระดับใหญ่ ทำเรื่องชั่วขนาดไหน ก็ต้องตีความก่อน

"เรื่องมันละเอียดอ่อน"

อืม! เห็นปลวกขึ้นบ้านตำตาแล้วต้องตีความก่อนว่า "ปลวกมาทำอะไรกันจ๊ะ" และ "เรื่องมันละเอียดอ่อน" คงไม่นานหรอกนะที่บ้านพังครืนลงมา

นานมาแล้วรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระบรมราโชวาทว่า "ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากอยู่ที่การส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"

พระบรมราโชวาทดังกล่าวสามารถขยายความไปยังหมู่สงฆ์ได้ด้วย เนื่องจากพระสงฆ์เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ หากอลัชชีนำทางชาวบ้านหลงทาง ก็ย่อมเป็นอันตรายมิเพียงต่อจิตวิญญาณของคนคนเดียว แต่ทั้งประเทศ

นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น เพราะหากคนไร้คุณภาพ หัวมีแต่ความโลภหลง บ้านเมืองก็พังได้

ดังนั้นอยากให้พุทธศาสนาขนานแท้อยู่คู่กับประเทศไทย พุทธบริษัททั้งสี่ก็ต้องช่วยกันดูแลอย่างเข้มงวด ไม่ยอมให้ปลวกเกาะกิน

ไม่เพียงแต่สอบเช็กระดับความรู้เท่านั้น ความจริงเราควรเริ่มระบบสอบเข้าเหมือนเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ผู้ที่อยากบวชควรจะศึกษาก่อน ไม่ใช่ไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปบวช

ถ้ามีการสอบเข้าและสอบไล่เป็นพักๆ ศาสนาก็น่าจะแข็งแรงขึ้น

ปลวกน่ะไม่มีทางหมดไปจากโลกหรอก แต่คนมีปัญญาต้องรู้จักเชิญปลวกไปอยู่นอกบ้าน

ยอมมีพระน้อยรูปดีกว่ามีมาก และสร้างปัญหามาก

………………..

ขอขอบคุณบทความโดย : วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/winlyovarin/


Most watched