วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

มิตรภาพ

เก็บมาจากTorakhong;Cradit:คุณกาแฟครึ่งถ้วย
มีหลายสิ่งที่คุณรู้สึกได้ ในมิตรภาพที่ไร้ข้อจำกัดของความเป็นเพื่อน ความผูกพันเหล่านั้นถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรเพื่อบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ ที่แสนจะพิเศษของทุกๆคนที่มีเพื่อน คุณขาดข้อไหนหรือเปล่า ?????Always be honest , would you want them to lie to you?
จงซื่อสัตย์เสมอ...คุณต้องการให้เพื่อนโกหกคุณเหรอ
Be there when they need you, or you may wind up aloneจ
จงอยู่เคียงข้างเมื่อเขาต้องการ...หรือคุณต้องการจะอยู่คนเดียว
Cheer them on, we all need encouragement now and then
ให้กำลังใจ...เราทุกคนต่างก็ต้องการการสนับสนุนเป็นบางครั้ง
Don't look for their faults, even if you have none
อย่ามองหาข้อผิดพลาดของเขา...แม้ว่าคุณจะไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ข้อเดียว
Encourage their dreams, what would we be without them?
สนับสนุนให้เขาทำตามความฝัน...เราจะอยู่อย่างปราศจากความฝันได้อย่างไร
Forgive them, you just may do something wrong sometime
ให้อภัย ...คุณอาจจะเคยทำผิดพลาดในบางเวลา
Get together often, misery loves company, so does glee
เจอกันบ่อยๆ...เมื่อมีความทุกข์ ต้องมีเพื่อน เพราะการคบค้าสมาคมทำให้เกิดความสนุกสนาน
Have faith in them, the human animal is remarkable
มีศรัทธาในเพื่อน...การมีศรัทธาเป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น
Include them, you may need to be included sometime
รวมเขาเข้าไปด้วย...คุณก็อาจจะต้องการถูกรวมบ้างบางครั้ง
Just be there when they need you
อยู่ข้างๆ...เมื่อเขาต้องการคุณ
Know when they need a hug, and couldn' t you use one?
รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาต้องการให้กอด...เคยกอดเพื่อนบ้างหรือยัง
Love them unconditionally, that is the only condition
รักโดยไร้ข้อแม้...นี่เป็นเพียงเงื่อนไขข้อเดียวเท่านั้น
Make them feel spicial, because aren't we all special?
ทำให้เขารู้สึกเป็นพิเศษ...เพราะเราทุกคนก็เป็นคนพิเศษไม่ใช่เหรอ
Never forget them, who wants to feel forgotten
อย่าลืมเพื่อน...ใครบ้างอยากถูกลืม
Offer to help, and know when " No thanks" is just politeness
เสนอตัวที่จะช่วยเหลือ...และควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คำว่า "ไม่เป็นไร ขอบคุณ" เป็นคำพูดแค่เพื่อมารยาท
Praise them honesly and openly
ยกย่องเพื่อนอย่างจริงใจ และเปิดเผย
Quietly disagree, noisy No's make enemies
อย่าโต้แย้งอย่างโจ่งแจ้ง...การทำเช่นนั้นก่อให้เกิดศัตรู
Really listen, a friendly ear is a soothing balm
ตั้งใจรับฟัง...การรับฟังของเพื่อนคือยารักษาอาการ
Say you're sorry, don't let them assume it
กล่าวคำขอโทษ...อย่าปล่อยให้เพื่อนต้องสันนิษฐานเอาเอง
Talk frequently, communication is important
พูดคุยกันบ่อยๆ ...การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ
Use good judgement
ใช้ข้อตัดสินที่ดี
Verbalsise your feelings
อธิบายความรู้สึกของคุณเป็นคำพูด
Wish them luck, hopeftlly good
อวยพรให้โชคดี..........หวังว่าเขาจะพบแต่เรื่องดี
Examine your motives before you 'help' out
ตรวจสอบเจตนาของคุณ ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ
Your words count, use them wisely
คำพูดของคุณมีค่า......จงใช้อย่างชาญฉลาด
Zip your lips when they told a secret
ปิดปากให้สนิทเมื่อเพื่อนบอกความลับ

กับอีกบทความ ฝากไว้ให้คิด
คนๆ หนึ่งการที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน
ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอ
ก็คือ“คน” เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น
อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว
อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง ที่ทุกคนอยากให้เป็น
อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว. . . คนเดียว ....
อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป
เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง
อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป
เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด
อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้
เพราะถ้าคนๆนั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้
คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันทีเธอ. . .
ลองมองดูฉันดีๆ ฉันมีลมหายใจ
ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา
ฉันเองก็เป็น “คน” เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน. . . เช่นกัน..
.อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง..
.------------------------------------------

30 วิธีที่ทำให้ตัวเองมีความสุข

เอามาจากFW:MailFrom:"thip khaewon"

30 วิธี ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข (ลองอ่านดูว่าจริงป่าว ?)
1.นึกไว้เสมอว่า การโกรธ1นาที จะทำให้ความเครียดอยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง
2.ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจกรับรอง ว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง
3.ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกถึงตัวตนคุณได้
4.หลับตานิ่งๆ 3 นาที เมื่ออะไรที่อยู่ข้างหน้ามันช่างยากเหลือเกิน
5. ระหว่างแปรงฮัมเพลงไปด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นเป็น 2 เท่า
6.เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง รสชาติจากที่ธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะ
7.ไม่ว่าผมสั้นหรือยาวก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด
8.การขึ้น - ลงบันไดสูงไม่ให้เหนื่อย คือการไม่นับว่ายืนอยู่ขั้นที่เท่าไหร่แล้ว
9. คาตาบอดจะเห็นคนสวยมากๆ ทันทีที่คุณถามเค้าว่า ''ช่วยพาข้ามถนนมั้ยค่ะ''
10.เมื่อหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนหย่อนลงกระป๋องหรอก
11.ควรหัดพูดคำว่า''ไม่เป็นไร'' มากกว่าจะพูดว่า ''จะเอายังไง''
12.ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาทีแล้วคุณจะไม่สายเหมือนเมื่อก่อน
13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง ดังนั้นเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงเล่าให้มันฟังได้
14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกครั้ง เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15.เขียนชื่อคนที่คุณเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง หรือแปะไว้ใต้รองเท้าแล้ว ใส่รองเท้านั้นเดินเล่นไปสักพัก ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
16.ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูแทบไม่ออกเลยว่าเพิ่งร้องไห้
17.ตุ๊กตา และของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มออกเสมอ เมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง
18.ก่อนซื้ออะไร ให้นึกว่ามันทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ทำให้ได้ 3 ข้อ
19.ถึงเสื้อ กางเกง ในตู้จะมีน้อย แต่ถ้าใส่สลับกันก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น
20.ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้น 1 ไม้กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21.เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด
22.วันไหนรู้สึกเศร้าๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น
23.แอบรักใครซักคน...ยังไงก็ดีกว่าไม่รู้ว่าความรักมันเป็นยังไง
24.ถึงไม่ได้ออกไปไหน ก็ไม่ใช่ว่าจะแต่งตัวหล่อๆ สวยๆ ไม่ได้นี่
25.ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง โดยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26.ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวให้สดใสได้ แล้วทำไมจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27.พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบ ถึงมันจะไม่สนุก แต่มันก็มีประโยชน์แฝงอยู่
28.วันที่ตื่นเช้า ให้บิดขี้เกียจให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย
29.แค่เอาข้าวที่กินไม่หมด ไปวางให้หมาที่เดินผ่าน แค่นี้ก็เป็นการทำบุญโดยไม่ต้องลงทุนแล้ว
30.ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มอีกหลายบาท ^^.
.---------------------------------------------------------
เก็บมาจากtorakhong;Cradit:คุณค้างคาวริมโขง
1. Say 'Love' คำว่า 'รัก' พูดง่ายนิดเดียว แต่อยู่ที่ว่าคุณกล้าที่จะพูดหรือไม่ คำว่า ' รัก ' คำเดียวสามารถสร้างปรากฏการณ์แห่งรัก สร้างความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความรู้สึกสุขใจกับคนที่คุณรัก และอาจเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างให้กับชีวิตคุณด้วย ไม่เชื่อก็ลองดู
2. Married การแต่งงานเป็นความฝันสูงสุดของผู้หญิงทั่วไป การได้มีสามีและลูกที่น่ารักช่วยเติมเต็มชีวิตของคุณให้มีความสุขสมบูรณ์ มีสายใยแห่งความเอื้ออาทรต่อกัน และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าชีวิตนี้เราก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกรัก และมีค่าสำหรับใครค นหนึ่งเช่นกัน
3. Best Friend เพื่อน...หาที่ไหนก็หาได้ แต่จะหาเพื่อนแท้สักคนนี่สิหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก ไม่ว่าคุณจะทำอะไรถูกหรือผิด คุณจะเจอปัญหาหนักหนาสาหัสแค่ไหน เพื่อนแท้เท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างคุณ คอยเป็นกำลังใจ เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นเพื่อนแก้เหงา เป็นคนที่ทำให้คุณสนุกสนาน เฮฮา หากคุณมีเพื่อนแท้แล้วจงรักษาเขาเอาไว้ให้ดี
4. Travel หากชีวิตที่ผ่านมาคุณมัวหมกมุ่นอยู่กับการทำงานเพียงอย่างเดียว และซีเรียสกับการใช้ชีวิตว่าจะต้องเกิดประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้มากจนเกินไป พานแต่จะทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ในวันหยุดที่จะถึงนี้ลองหาสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อน เพื่อเติมพลังชีวิตให้กลับมาสดใสมีชีวิตชีวาดีกว่าค่ะ
5. Drunk ลองใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงดูสักครั้ง เติมชีวิตให้มีสีสัน เฮฮา ปาร์ตี้ให้สุดๆ กับเครื่องดื่มที่จะทำให้คุณลืมโลก ลืมปัญหา และความวุ่นวายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ขอเตือนว่าอย่าเมาจนหัวทิ่มกันทุกวันนะคะ ไม่อย่างนั้นคุณคงได้ลืมโลกใบนี้ไปจริงๆ
6. Live Without TV ชีวิตคนเราทุกวันนี้โดนแทรกแซงจากสิ่งประดิษฐ์ และข่าวสารต่างๆ มากมายจนทำให้ชีวิตเรายุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาได้อยู่กับตัวเอง โดยเฉพาะโทรทัศน์ที่มีกันแทบจะทุกบ้าน กลับบ้านปุ๊บเป็นต้องหยิบรีโมตขึ้นมากด และหมดเวลาไปกับการนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์และเปลี่ยนช่องดูไปเรื่อยๆ คุณลองอยู่อย่างไม่มีโทรทัศน์ดูสักวันสิคะ แล้วคุณจะรู้สึกว่าวันนั้นคุณทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเองได้มากทีเดียวค่ะ
7. Own House บ้าน คือวิมานของเรา แต่หากเราไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านนั้นก็อาจไม่ใช่วิมานของเราก็ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองทำงานเก็บเงินและซื้อบ้านเป็นของตัวเองสักครั้งในชีวิต รับรองว่าคุณต้องภูมิใจและมีความสุขกับบ้านที่คุณได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองอย่างแน่นอน
8. Forgiveness เมื่อใดที่มีคนมาทำร้ายเรา หากเรามัวแต่โกรธและจ้องที่จะทำร้ายเขากลับ ความแค้นนี้คงไม่จบไม่สิ้นลงได้ง่ายๆ แต่คุณจงเข้าใจกับความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ไม่มีใครหรอกที่จะไม่เคยทำผิดพลาด ไม่มีใครที่ดีพร้อม ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้ และยอมรับมัน เราก็จะมีความสุขกับชีวิตที่รู้จักการให้อภัยมากขึ้น9. Be Happy ชีวิตคนเราเกิดมาสั้นนัก ไม่รู้จะมานั่งเศร้าหมองให้ชีวิตห่อเหี่ยวไปทำไม จงมีความสุขและเอน จอยกับสิ่งที่ทำ หรือหากมีปัญหาที่ทำให้ทุกข์ใจ ก็อย่าได้ทุกข์กับมันซะนาน ทางที่ดีหาทางแก้ไขและอยู่กับมันอย่างแฮปปี้จะดีกว่าค่ะ
10. Donate Blood การทำบุญอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน ( ไม่เป็นเอดส์ ) ก็ทำให้เหมือนกันนั่นก็คือ การบริจาคโลหิตเพื่อต่อชีวิตให้กับคนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ คนคนนั้นอาจเป็นผู้นำครอบครัวที่หาเลี้ยงลูกเมีย หากขาดเขาไปสักคน ครอบครัวหนึ่งอาจต้องประสบกับความโหดร้าย ดังนั้นคุณจงภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือคนอีกหลายชีวิต แม้จะเป็นทางอ้อมก็ตาม
11. Donate Body ขณะที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราต่างเห็นสิ่งเลวร้ายและความสูญเสียมานับไม่ถ้วน แต่หากเรามีโอกาสได้ลองบริจาคอวัยวะเมื่อตายไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่ต้องการ คุณคิดดูสิคะว่ามันจะดีกว่าที่จะต้องเอาร่างที่ไร้วิญญาณนั้นไปฝังหรือไปเผากว่าเป็นไหนๆ เรียกว่า ตายไปก็ไม่เสียดายชีวิต จริงไหมคะ
------------------------------------------

ชีวิตแต่งงานที่เป็นสุขเริ่มต้นอย่างไร?

อยากจะฝากข้อควรปฏิบัติ 9 ข้อ สำหรับคู่สมรสใหม่ เพื่อเอาชนะปัญหาความยุ่งยากต่างๆ ในช่วงปีแรกของการแต่งงานดังนี้.
ข้อ 1. ให้ยอมรับว่าชีวิตนั้นจะต้องมีปัญหา ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่คู่สมรสจะต้องยอมรับว่าชีวิตสมรสเป็นเรื่องของคนสองคนไม่ใช่คนๆ เดียว และไม่ว่าคู่สมรสใดต่างก็มีปัญหากันทั้งนั้นข้อ
2. ไม่ต้องหลอกตนเองหรือฝืนใจตัวเองให้สนใจในสิ่งหรือเรื่องเดียวกัน แน่นอนสามีและภรรยาจะต้องมีความสนใจในบางเรื่องที่ไม่ตรงกันเพราะนั้นคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตแต่งงานมีรสชาติมากขึ้นและเป็นการทำให้เกิดมุมมองที่หลายหลาย แต่ก็ไม่ควรเอาแต่ใจตนเองจนเกินไป
ข้อ 3. หากชีวิตกามารมณ์ของคุณไม่เป็นที่พึงพอใจในปีแรก ให้รีบขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ข้อนี้สำคัญมาก ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาเรื่องเพศนั้นจะไม่หายไปเองง่ายๆ และยิ่งคุณรอนานมันยิ่งจะเป็นปัญหาที่หนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตามตัว บุคคลที่คุณควรปรึกษาในเรื่องนี้คือ สูตินารีแพทย์ จิตแพทย์หรือไม่ก็นักสังคมสงเคราะห์
ข้อ 4. อย่าตั้งกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการทำกิจกรรมหรือภาระกิจที่คุณเคยกระทำอยู่เมื่อครั้งยังเป็นโสด เช่นทำตารางเวลาหรือกำหนดวันจนกลายเป็นเงื่อนไขผูกรัดตัวคุณ แต่คุณควรที่จะพยายามใช้เวลาด้วยกัน และมีกิจกรรมต่างๆร่วมกันในช่วงสองปีแรกของการสมรส และหากจะมีการกำหนดกิจกรรมใดๆควรเป็นเรื่องที่กำหนดด้วยกันและทำด้วยความสมัครใจจะดีกว่า เช่นการเป็นเยี่ยมพ่อแม่ของคุณทั้งสองคน และการไปทำเรื่องที่แต่ละคนชอบในวันหยุดสุดสัปดาห์ เช่นคนหนึ่งอาจชอบไปว่ายน้ำ อีกคนชอบไปตีกอล์ฟ เป็นต้น
ข้อ 5. ต้องยอมรับถึงรายจ่ายที่จะเพิ่มขึ้น และมีการวางแผนด้านการเงิน เมื่อยอมรับหรือทำใจไว้ล่วงหน้าได้เช่นนี้คุณก็จะช่วยกันแก้ไข โดยการจัดทำงบประมาณค่าใช้จ่ายแบบประหยัด แต่ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นก็คือคุณจะต้องพยายามใช้จ่ายตามงบประมาณที่ได้ตั้งไว้ด้วยนะครับ
ข้อ 6. วางแผนเรื่องการใช้เวลาให้ดี จงให้แน่ใจว่าเวลาสำหรับการทำงานและการแสวงหาความสุขสนุกสนานเพียงพอทัดเทียมกัน ทั้งนี้เพราะความสุขจากการใช้เวลาด้วยกันนั้นคือส่วนสำคัญของชีวิตแต่งงาน
ข้อ 7. การแต่งงานนั้น คือการที่คนสองคนเข้าหุ้นส่วนชีวิตกันและกัน ทั้งสองฝ่ายควรมีส่วนรับรู้ในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับ หรืออาจมีผลกระทบต่อชีวิตสมรส
ข้อ 8. รักษาสุขภาพให้ดี การรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์อยู่เสมอด้วยการที่คุณทั้ง 2 คนควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ (รวมถึงทันตแพทย์ด้วย) และคุณทั้งคู่จะต้องเอาจริงเอาจังกับการดูแลสุขภาพของตนเองเช่นการลดและอเลิกสูบบุหรี่หรือเสพของมึนเมาต่างๆ ทั้งนี้เพราะว่าการมีสุขภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์แข็งแรงอาจนำมาซึ่งชีวิตสมรสที่ไม่มีความสุขได้
ข้อ 9. จงให้กำลังใจกันและกันเสมอว่าชีวิตจะต้องมีทั้งความทุกข์และความสุข ที่สำคัญคือจงมีความเชื่อและมั่นใจว่า คุณทั้ง 2 คนจะสามารถเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆ ในอนาคตร่วมกันได้อย่างสบาย และในอนาคตนั้นมีความสุขกำลังรอคุณอยู่หากคุณทั้ง 2 คนสามารถเอาชนะปัญหาต่างๆ ในช่วงปีแรกของการแต่งงานได้ คุณจะรู้สึกประหนึ่งว่าความทุกข์ยากและปัญหาหนักต่างๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากว่าในปีแรกนี้ทั้งคู่จะต้องปรับตัว ซึ่งการปรับตัวนี้ในบางเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ถ้าทำได้สำเร็จก็จะเป็นการปูรากฐานของความสุขที่จะได้เกิดขึ้นในช่วงต่อไปของชีวิต และพร้อมที่จะเอาชนะปัญหาหนักๆ ซึ่งจะติดตามมาภายหลัง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงปีที่ 7 และประมาณระหว่างปีที่ 15 – 20 ของการแต่งงานสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ความรักระหว่างคุณทั้งสองเป็นไปได้อย่างมั่นคงตลอดไปก็คือ ความสามารถในการเข้าไปเป็นเสมือนหุ้นส่วนในชีวิตสมรสและการรับผิดชอบในหน้าที่ของหุ้นส่วนชีวิตของกันและกัน คุณทั้งคู่จะต้องปรับตัวในหลายๆ ด้านในชีวิตการสมรส การปรับตัวนี้จะเป็นเรื่องง่ายหากคุณเป็นผู้ใหญ่พอนั้นหมายถึงความเป็นผู้ใหญ่ด้าน “อารมณ์”หลายคนคงจะสงสัยว่าความเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องอารมณ์นี้คืออะไร? ความเป็นผู้ใหญ่ในด้านอารมณ์ หมายถึง การควบคุมอารมณ์ความรู้สึกให้อยู่ในกฎเกณฑ์ต่างๆ ด้วยความสบายใจ และหมายถึงความเห็นอกเห็นใจฝ่ายตรงข้ามด้วยการมีสติและเหตุผล สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือองค์ประกอบที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งคู่ประสบความสำเร็จ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือคุณจะต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน ควรใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาไม่ควรใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ และอย่าเป็นคนขี้ระแวงมากเกินไป เพราะจุดนี้อาจจะทำให้คุณเป็นทุกข์ ควรคิดแต่แง่ดีในตัวคู่ครองของคุณ คือ “มองโลกในแง่ดี” นั้นเอง แต่ก็ต้องดูที่เหตุผลด้วย.... โดยฝ่ายผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วจะเข้าอกเข้าใจในความผิดพลาดต่างๆ ของฝ่ายชายและพร้อมที่จะประนีประนอม และในทางกลับกันฝ่ายผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วจะเข้าอกเข้าใจในความผิดพลาดต่างๆ ของฝ่ายหญิงและพร้อมที่จะประนีประนอมเช่นเดียวกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเธอและของเขาราบรื่นในยามที่มีปัญหา
หากทั้งสองฝ่ายมีส่วนช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการแก้ไขปัญหาแล้ว ทั้งคู่จะมีความพึงพอใจในความเสมอภาค เพราะทั้งนี้จะไม่มีฝ่ายใดอยู่เหนือฝ่ายหนึ่ง ทว่าทั้งสองต่างก็หันหน้าเข้าหากัน ช่วยกันในลักษณะหุ้นส่วนที่มีศักดิ์ศรีทัดเทียมกันและนี้แหละคือ “ชีวิตแต่งงานที่เป็นสุข”

คุณรักคน คนนึงเพราะอะไร???

ถ้าใครสามารถตอบคำถามได้ว่า... "รักคนคนหนึ่งเพราะอะไร" ...นั่นเป็นรักจากสมอง สมองมักมีเหตุผล มีคำตอบในการที่ต้องรัก และอาจไม่ใช่รักแท้... เพราะรักแท้ เป็นรักที่ไม่มีคำตอบ ...เป็นความรัก ที่มาจากความรู้สึกถ้ารักจากสมอง ชีวิตรักเหมือนอยู่ในโลกความจริง มักไม่อ่อนหวาน ทำอะไรก็มีแผนการ ...มีเหตุผล มีคำอธิบายร้อยแปด ต่างจากรักที่มาจากความรู้สึก ...ชีวิตเหมือนอยู่ในความฝัน ...อ่อนหวาน อบอุ่น ใช้หัวใจในการตัดสิน กลายเป็นคนไม่มีสมอง...ถ้าใครบอกว่ารักคุณเพราะอะไร... พึงจำไว้ว่ารักแท้จะไม่มีเหตุผล จะไม่มีคำว่าอะไร มาทำให้รักเพราะถ้าบอกว่ารัก เพราะคุณสวย ...เมื่อความสวยหมด อาจเลิกรักได้ หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคนดี วันหนึ่งก็อ้างได้ว่า ตอนนั้นเห็นคุณเป็นคนดีได้อย่างไร... หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคุณ ...ก็คงเบื่อที่จะหาคำอื่นมาพูด คำนี้ใช้ง่ายที่สุด...จงฟังคนที่บอกว่า รักคุณ และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรัก นั่นเเสดงว่าใช้หัวใจรัก ไม่ว่าวันข้างหน้า คุณจะเป็นอย่างไร หัวใจก็จะยังไม่มีเหตุผลในการรักอยู่ดีจะเลือกคนที่ใช้หัวใจรัก หรือคนที่ใช้สมองรัก...ขึ้นอยู่กับคุณ

การที่เราจะรักใครสักคน
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงไปรักเขาได้ แต่ให้รู้ไว้ว่าทุกวันนี้เรารักเขาและต้องรักให้ดีที่สุดก็พอ การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องสนว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน แต่ควรนึกขอบคุณโชคชะตาที่สร้างให้มีอุปสรรค เพื่อให้เราทั้งสองได้ร่วมฟันฝ่าไปด้วยกันการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่าเขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง แต่ให้มานั่งถามตัวเองดูว่า วันนี้เราทำอะไรเพื่อคนที่เรารักแล้วหรือยัง การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปมัวระแวงว่าเขาจะไปมีใครอื่นนอกเหนือจากเรา แต่ควรระวังใจของตัวเองให้เข้มแข็งพอที่จะไม่รับใครเข้ามาในใจอีก การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของเขา ว่าเขาเคยมีใครยังไง แต่ให้คิดไว้ว่าทุกวันนี้มีเขาและเราอยู่ด้วยกัน...อดีต..ถึงอย่างไรก็คืออดีต การที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อทะเลาะกัน คำว่าแพ้หรือชนะ ก็ไม่สำคัญ เราจึงยอมให้เขาเป็นฝ่ายชนะเสมอ ถ้าทำให้เขาสบายใจ การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเขา แต่ควรพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับเขาจะดีกว่า การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรหูเบา เพราะอาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่เรารักได้ การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ใช่การสัมผัสกันด้วยร่างกาย แต่เป็นการสัมผัสกันด้วยหัวใจต่างหาก การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องบอกรักกันทุกวัน เพราะการที่เราคอยห่วงใยกันอยู่เสมอๆ ก็สามารถทดแทนคำว่ารักได้ดี แม้สักล้านคำ การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่เกี่ยวกับสิ่งของนอกกายใดๆเลย เพราะความรักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน หรือแลกมาได้ด้วยทรัพย์สิน การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องคอยนับว่าเขามีข้อเสียมากมายสักกี่ข้อ เพราะข้อดีของเขาก็มีมากพอที่จะทำให้เราลืมข้อเสียทั้งหมดของเขาได้ การที่เราจะรักใครสักคน....ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา แค่เรามีเขาอยู่ในใจทุกนาทีก็พอ การที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อเห็นเขาเสียใจ ไม่ต้องรอจนกระทั่งเขาเสียน้ำตา แล้วค่อยเข้าไปปลอบใจ แต่ควรรีบเข้าไปแบ่งเบาความทุกข์ของเขาเสียตั้งแต่เมื่อเราเห็นเขาเงียบๆซึมๆไป เพราะหากเราปล่อยเขาไว้จนสายเกิน ผลสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจที่สุดเมื่อรู้ตัวก็คือตัวเราเอง การที่เราจะรักใครสักคน...อย่ารอที่จะบอกรัก ให้รีบบอกคนที่เรารักซะ ก่อนที่จะไม่มีเขาคนนั้นให้บอกอีกต่อไป
------------------------------------------
รัก และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
การที่เราจะรักใครสักคน...แม้ว่าอาจทำให้เราตาบอด แต่ก็ทำให้เราได้รับรู้และเข้าใจ ว่าความสุขจากการที่ได้รักใครสักคน มันมีมากมายแค่ไหน
การที่เราจะรักใครสักคน...จงเชื่อมั่นในตัวเขาให้มากๆ การที่เราจะรักใครสักคน...ง่ายยิ่งกว่าการพยายามลบเขาออกไปจากหัวใจ ...ความรัก สอนให้เราได้เรียนรู้หลายๆสิ่ง ความรักเป็นบทเรียนดีๆ ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง ความรัก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้เราเข้าใจอะไรๆมากขึ้น
ความรัก ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ....จากการที่เราได้....รัก..
..ใครสักคน...

คาถากันความทุกข์


































































-----------------------------------


คาถากันความทุกข์
* พระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล)
..เมื่อได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
ให้เสกคาถาว่า "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป"
เมื่อสิ่งเหล่านั้นเสื่อมสิ้น
ไปจะได้ไม่ทุกข์ใจเ
มื่อประสบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
ให้เสกคาถาว่า "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป"
จะได้ไม่ทุกข์ทรมานใจ

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

"สัจธรรม"..

1.ไม่ว่าวันนี้จะเลวร้ายแค่ไหน จงยิ้มเข้าไว้...เพราะพรุ่งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า
2.คำว่า 'พรุ่งนี้รวย' ของคนขายลอตเตอรี่ ไม่ใช่คำมั่นสัญญา แต่เป็นปรัชญาที่ต้องตีความหมาย...เหมือนคำพูดของนักการเมือง ตอนหาเสียง
3.สิ่งที่คนเมาพูด คือ สิ่งที่คนปกติคิด
4.ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ไม่ว่าคุณจะแก้ดียังไง มันก็จะนำไปสู่ปัญหาใหม่ ที่ต้องให้คุณคิดหาทางแก้ไขต่อไป..เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย
5.ทุกปัญหาย่อมมีวิธีแก้ที่ง่ายที่สุด...แต่วิธีแก้ที่ง่ายที่สุด จะพบหลังจากใช้วิธียากที่สุดไปแล้ว
6.อะไรก็ตามที่คุณอยากจะถาม... เป็นไปได้มากว่า มันคือสิ่งที่คุณไม่ควรจะรู้
7.คนเรามักจะพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด ในเวลาที่ไม่เหมาะที่สุด และกับคนที่ไม่น่าจะพูดที่สุด
8.สินค้าที่ประสบความสำเร็จทางการตลาดที่สุด คือ สินค้าที่คนโง่ที่สุดใช้เป็น และอยากจะใช้ แม้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม
9.เมื่อคุณมาประชุมสาย ประธานจะมาตรงเวลา และเมื่อคุณมาตรงเวลา การประชุมเลื่อนไปไม่มีกำหนด
10.อะไรก็ตามที่คุณคิดได้ และรู้สึกว่ามันสุดยอดจริงๆ คุณก็จะพบว่า มีคนอื่นที่ไหนสักแห่ง คิดมาแล้ว
11.คนดีๆ... ล้วนมีเจ้าของไปหมดแล้ว (เหมือนที่จอดรถ)
12.ส่วนคนที่ยังเหลืออยู่... มันก็ต้องมีเหตุผลแหละนะ(ไม่เหมือนที่จอดรถ)
13.อะไรที่คุณเอะใจว่า มันจะดีเกินจริง... เป็นไปได้มากว่า มันไม่จริง
14.ความรัก ก็เหมือนการรอรถเมล์.... สายที่ไม่อยากขึ้น ก็มาจัง ส่วนสายที่ต้องการจะขึ้น ก็รอไปเถอะ พอมาก็ไม่จอด, พอจอด ก็คนแน่น ขึ้นไม่ได้, พอขึ้นได้ รถก็ไปตายกลางทางอีก
15.ความรักก็เหมือนกับเหรียญ แหวน หรือชิ้นส่วนเล็กๆ เพราะเมื่อไหร่ที่มันหลุดมือตกลงพื้น มันจะต้องกลิ้งไปยังซอกที่มืดที่สุด และลึกที่สุด จนเรามองไม่เห็น และเอื้อมไม่ถึง
16.รถไฟอาจจะวิ่งบนราง แต่อย่าด่วนสรุปว่า มันวิ่งไปทางไหน โดยดูจากราง เพราะเมื่อเหลียวกลับมามองอีกที รถไฟขบวนนั้นอาจจะวิ่งผ่านคุณไปแล้วก็ได้ สวย หรือหล่อ ไม่ได้อยู่ที่คำจำกัดความ แต่อยู่ที่จินตนาการ
17.ความรัก สวนทางกับกฎฟิสิกส์ นั่นคือ เมื่อเราให้ความรักกับใครมากเท่าไหร่ เราก็จะได้รับตอบแทนกลับมาเป็น สัดส่วนผกผันกลับ
18.เมื่อไหร่ที่ฝ่ายหนึ่งบอกว่า 'เป็นเพื่อนกัน' แปลว่า 'ต้องการจะเลิกคบกัน'
19.เมื่อไหร่ที่ฝ่ายหนึ่งบอกว่า 'มีอะไรต้องคุยกัน' แปลว่า 'ไม่ต้องการคุยกันอีกแล้ว'
20.ความรักทำให้คนตาบอด, การแต่งงานช่วยให้คนตาสว่าง
**********************

สูตรสู่ความสำเร็จ

ถ้า A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z
.มีค่าเท่ากับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26
แล้วจะพบว่า......1) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11 = 98%
HARD WORK หรือ ทำงานหนัก มีค่าเท่ากับ 98 %
2) K+N+O+W+L+E+D+G+E = 11+14+15+23+12+5+4+7+5 = 96%
KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96 %
3) L+O+V+E=12+15+22+5 = 54%
LOVE หรือ ความรัก มีค่าเท่ากับ 54 %4) L+U+C+K = 12+21+3+11 = 47%
LUCK หรือ โชค มีค่าเท่ากับ 47 %
Q ; ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า 100 % เลยหรือ !!!
แล้วสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับ 100 %
- ใช่เงินหรือเปล่า ?……… .... .....
ไม่ใช่ !!!!!
- ความเป็นผู้นำหรือเปล่า ?…
……ไม่ใช่ !!!!!
Q ; แล้วอะไรล่ะ ?
Ans. ; A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5 = 100%
ATTITUDE หรือ ทัศนคติ นั่นเอง ที่มีค่าเท่ากับ 100 %
ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่
ทุกปัญหามีทางออก . . บางทีแค่เพียงแต่เราเปลี่ยน "ทัศนคติ "ของเราเสียใหม่เท่านั้นเอง มีเพียงแต่ “ทัศนคติ” ของเราเท่านั้น ที่จะเป็นตัวนำทาง ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต และงานที่ทำ
ความคิด & ทัศนคติ
สุดท้าย .... ลงมือทำ ........

ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนมีความหมายเสมอ

ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนมีความหมายเสมอ
<เก็บจากTorakhong;Credit:คุณกาแฟครึ่งถ้วย>
ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนมีความหมายเสมอมี
>ขยะ . . . ที่ต้องเก็บหลังงานปาร์ตี้เลิก...นั่นหมายความว่า. . . เราได้อยู่กับเพื่อนๆ
>มีภาษี. . . ที่ต้องจ่ายหมายความว่า. . . เรามีงานทำ
>มีเสื้อผ้า. . . คับเกินไปหมายความว่า. . . เรามีอาหารเพียงพอที่จะกิน
>มีเงาตามหลังขณะเราทำงานหมายความว่า. . . เราได้ออกไปรับแสงแดด.
>.มีสนามหญ้าที่ต้องตัด / หน้าต่างที่ต้องทำความสะอาดหมายความว่า. . . เรามีบ้านอยู่
.>มีเสียงด่ารัฐบาล. . . ที่เราได้ยินหมายความว่า. . . เรามีเสรีภาพที่จะพูด
>>ได้ที่จอดรถที่ไกลที่สุดของพื้นที่จอดนั่นหมายความว่า. . . ขาเรายังเดินได้
>>เสื้อผ้ากองใหญ่. . . ที่ต้องซักรีด.หมายความว่า. . . เรายังมีเสื้อผ้าใส่
>>รู้สึกเมื่อยล้า. . . หลังการทำงานในแต่ละวันหมายความว่า. . . เรายังทำงานได้
>>>เสียงนาฬิกาปลุก. . . ที่ดังขึ้นทุกเช้าหมายความว่า. . . เรายังมีชีวิตอยู่
<<<>>>>>

สิ่งที่ไม่ควรทำคือ " การยอมแพ้ "

>>ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า 'สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา' ชายคนนั้น...ชื่อ 'อัลเบิร์ต ไอสไตน์' บิดาแห่งปรมาณู
>>ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ ชายคนนั้น...ชื่อ 'นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์' ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
>>ชายกลุ่มหนึ่ง...เป็นนักดนตรี ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า 'เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว' ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า 'เดอะ บีเทิลส์' สี่เต่าทองแห่งตำนาน
>>ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน ชายคนนั้น...ชื่อ 'ไมเคิล จอร์แดน' หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชายคนนั้น...ชื่อ 'ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน' นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก
>>ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6 ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี ชายคนนั้น...ชื่อ 'วินสตัน เชอร์ชิล' อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
>>ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี ชายคนนั้น...ชื่อ 'หลุยส์ ปาสเตอร์'++

++ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า 'แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า' ชายคนนั้น...ชื่อ 'เอลวิส เพรสลีย์' ***
***หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า 'เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯ หรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า' หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม 'มาริลีน มอนโร' นั่นเอง@@@
@@ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ ชายคนนั้น...ชื่อ 'วอเรน บัฟเฟตต์' นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก(ปัจจุบัน) +++^^^@@@@
>>ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า 'สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์' ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า 'แค่เด็ก' ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม 'บิลล์ เกตส์' ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ (ปัจจุบัน) ^^^
+++
<<<ผมเชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ ผมเชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลวคนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหากครับ>>>>


Most watched