วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 สิ่งที่คนใกล้ตายเสียดายที่สุด


  ...เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าคนเราต้องตายทุกคน
ตถาคตเจ้าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้จารึกในพระไตยปิฎกในพระอภิธรรมกถาบทหนึ่งมีใจความว่า ○ ผู้ที่เกิดมาแล้ว ที่จะไม่ตาย ไม่มี ○
เป็นสัจธรรมความจริงแท้ตามธรรมชาติสภาพโดยทั่วๆไปนั่นแหละ

       พี่ชายที่ผมเคารพรัก (พี่คำภีย์ ดัชถุยาวัตร) ส่งวีดีโอนี้มาให้ผมในไลน์ ลองชมวีดีโอนี้แล้วผมคิดว่ามีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเราต่อวันเวลาที่เหลืออยู่นี้นะครับ
ขอขอบคุณเจ้าของวีดีโอนี้นะครับ Paul Pattapon



Life is short., Enjoy it....
         ชีวิตคนเรามันสั้น... จงสนุกกับมัน

'' อย่าเริ่มวันด้วยความเศร้าของวันก่อน ทุกวันที่ตื่นมานั้นเป็นวันแรกสำหรับวันที่เหลือในชีวิตเสมอ ''

                             - มหาโทน -



 

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561

กสทช.ยันไม่อนุญาตใช้ "คำหยาบ" ในช่องทีวี

เขียนวันที่
วันเสาร์ ที่ 02 มิถุนายน 2561 เวลา 18:41 น.
เขียนโดย
ไทยพีบีเอส





กสทช.ยืนยันไม่เคยอนุญาตให้ใช้คำหยาบออกอากาศโทรทัศน์ หลังมีผู้เผยแพร่ให้ใช้คำหยาบคายออกอากาศได้ เบื้องต้นตักเตือนเจ้าของช่องให้ปรับเนื้อหาไม่ใช้เรท “ท”
วันนี้ (2 มิ.ย.61) พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กสทช. เปิดเผยกรณีมีการเผยแพร่ข้อความว่า กสทช.อนุญาตให้ใช้คำว่า “เ_ี้ย” ออกอากาศได้ หลังจากมีผู้ร้องเรียนไปที่ สำนักงาน กสทช. เพื่อขอให้ตรวจสอบเนื้อหาของละครโทรทัศน์ ช่อง ONE ว่ามีการใช้คำพูดไม่เหมาะสม
หลังจากได้รับร้องเรียน ทาง กสทช.ได้พิจารณาพร้อมเชิญตัวแทนเจ้าของช่องมาชี้แจงแล้วพบว่า มีคำพูดตามที่ร้องเรียนจริง จึงได้ตักเตือนเจ้าของช่องให้ระวังการใช้คำพูด ซึ่งเอกสารที่ชี้แจงผู้ร้องได้ระบุชัดเจนว่า ได้ตักเตือนช่องและให้จัดเรทละครที่มีเนื้อหารุนแรงไม่ให้อยู่ในกลุ่มผู้รับชมทั่วไป หรือ “ท” ซึ่ง กสทช.พิจารณาจากบริบทภาพรวมของละครเรื่องนี้
"รายการตลกจะไปใช้คำหยาบไปบ้าง เราไม่ได้บอกว่ามันผิด แต่เป็นความผิดที่ตักเตือนได้ ต้องเปลี่ยนระดับเหมาะสมไม่ให้ออก ท. และให้ลดคำพูดที่ไม่สุภาพลง ซึ่งตามขั้นตอนการกำกับดูแลของ กสทช. ถ้าพบการกระทำผิดจะตักเตือนเพื่อให้ช่องกลับไปแก้ไขก่อน ถ้ายังพบปัญหาอยู่อีก จะเพิ่มระดับโทษเป็นการปรับเงิน พักใช้ใบอนุญาตและโทษสูงสุดคือ เพิกถอนใบอนุญาต"
พล.ท.พีระพงษ์ กล่าวว่า การกำกับดูแล กสทช.ไม่ได้ใช้มาตรการจ้องจับผิด แต่เมื่อพบปัญหามีผู้ร้องเรียนจะนำสู่กระบวนการเรียกตัวแทนเจ้าของช่องมาชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ไม่ใช่การอนุญาตให้ใช้คำหยาบคายได้ตามที่เข้าใจผิดกัน
"การจะให้ กสทช.มากำกับทุกคำพูดมันของทุกช่องทุกรายการโทรทัศน์มันเป็นไปไม่ได้ เราไม่ต้องการกำกับจนผู้ประกอบการขยับตัวไม่ได้ แต่ทางแต่ละช่องในฐานะผู้ผลิตสื่อก็ต้องช่วยกันตรวจสอบเซนเซอร์คำพูดของรายการตัวเองด้วย แต่เมื่อมีเรื่องร้องเรียนมา กสทช.ก็ตักเตือน ถ้าไม่ปรับแก้ไขก็ค่อยพิจารณาโทษที่สูงขึ้น เอกสารที่เผยแพร่ที่ออกจากสำนักงาน กสทช. แล้วทำให้เข้าใจผิดกันนั้น อยากขอให้อ่านกันให้จบว่า กสทช.พูดให้อนุญาตใช้คำหยาบเช่นนั้นได้จริงหรือไม่”
ด้านนายเดียว วรตั้งตระกูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง ONE 31 เปิดเผยว่า ทาง กสทช.ได้เรียกไปเตือนจริงว่าการออกอากาศใช้ภาษาไม่เหมาะสม ซึ่งทางช่องชี้แจงว่าเป็นบริบทที่ตัวละครวัยรุ่นใช้กัน แต่ กสทช.แนะนำว่ามีวิธีหลีกเลี่ยงภาษาหยาบคาบได้ และขอให้ไปปรับเนื้อหาให้เหมาะ ซึ่งทางช่องน้อมรับและยินดีปรับแก้เนื้อหาให้ถูกต้องตามเรท "ท" ที่กำหนด และยืนยันว่า กสทช.ไม่อนุญาตให้ใช้คำหยาบคายออกอากาศ

ไอ้เหี้ย!!

บรรทัดฐานใหม่! กสทช.ฟันธง สามารถใช้คำว่า "ไอ้เหี้ย" (ที่ไม่ได้แปลว่าสัตว์เลื้อยคลาน) ในรายการโทรทัศน์ประเภท "ท.ทุกวัย" ได้ ถ้าใช้ไม่บ่อย

แชร์หรือบอกต่อๆกันไปให้ช่องอื่นรู้ด้วยเลยครับ ถ้าท่านมีรายการ ท. ทุกวัย ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เด็กและเยาวชนรับชม สามารถใช้คำว่า "ไอ้เหี้ย" ได้เลย ไม่มีปัญหา กสทช.รับรองว่าใช้ได้ ไม่โดนปรับ สอดคล้องกับรายการสำหรับผู้ชมทุกวัย



"ไอ้เหี้ย" กสทช. อนุญาตให้ใช้ในรายการทีวีประเภท "ท.ทุกวัย" ได้ ถ้าใช้ไม่บ่อย

บรรทัดฐานใหม่! กสทช.ฟันธง สามารถใช้คำว่า "ไอ้เหี้ย" (ที่ไม่ได้แปลว่าสัตว์เลื้อยคลาน) ในรายการโทรทัศน์ประเภท "ท.ทุกวัย" ได้ ถ้าใช้ไม่บ่อย

แชร์หรือบอกต่อๆกันไปให้ช่องอื่นรู้ด้วยเลยครับ ถ้าท่านมีรายการ ท. ทุกวัย ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เด็กและเยาวชนรับชม สามารถใช้คำว่า "ไอ้เหี้ย" ได้เลย ไม่มีปัญหา กสทช.รับรองว่าใช้ได้ ไม่โดนปรับ สอดคล้องกับรายการสำหรับผู้ชมทุกวัย

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) แนะนำการวางใจเรื่องปัญหาวงการสงฆ์ในปัจจุบัน

Source : บทความจาก สำนักข่าวอิศรา
ขอขอบคุณที่มาบทความ มา ณ โอกาสนี้

   เวลานี้ก็มีเหตุการณ์ที่เป็นข่าวคราวในวงการพระสงฆ์  ซึ่งอาจจะทำให้ญาติโยมไม่สบายใจ  แล้วก็ข้องจิตขัดใจอยู่  ทำให้ขัดขวาง  แม้แต่การฟังธรรม (การภาวนา) ด้วย  ฉะนั้น  ก็มาทำให้สว่างโล่งกันเสียก่อน  คือเรื่องเหตุการณ์ความไม่ดีไม่งามอะไรก็ตาม  ที่เกิดขึ้นในวงการพระสงฆ์นี้  ก็เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนจะต้องรู้ เข้าใจ  แล้วปฏิบัติกับมันให้ถูกต้อง  

อย่างเรื่องในวงการพระสงฆ์ในเวลานี้ ถ้าเรามองด้วยปัญญาในแง่หนึ่ง อาตมาเคยเขียนหนังสือมาหลายเรื่อง หลายครั้งแล้ว  เรื่องประเภทนี้  เคยเกิดขึ้นมา  ไม่ใช่ครั้งเดียวนะ หลายท่านที่อายุมากๆ ก็เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายตรงนี้มา   แง่หนึ่งที่จะมอง  ก็จะบอกว่าพระสงฆ์นี้ถือว่า  ใช้ภาษาฝรั่งเรียกว่า  เป็น clean ของสังคมในแง่ของคุณธรรม จริยธรรม แล้วสังคมของไทยเรานี้  แม้แต่ส่วนที่ถือว่าเป็น clean สุดยอดดีนี้  ยังแย่ขนาดนี้  แล้วสังคมไทยส่วนใหญ่จะไปทางไหน


(คัดบางส่วนจาก  วิสาขเทศนา  29 พค. 2561  ณ อุโบสถ วัดญาณเวศกวัน)
ว่าที่จริงแล้วก็ถือว่ามันเป็นปัญหา  ปัญหานั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องฝึกใจ  แล้วเป็นเรื่องลับปัญญา ฉะนั้น  เราใช้ให้เป็น  เราก็พลิก  แทนที่จะให้มันทำร้ายเรา  เราก็กลับมาใช้ประโยชน์  ปัญหานี้เป็นสิ่งสำคัญมนุษย์เกิดมาต้องเจอปัญหา  ปัญหาชีวิตส่วนตัวบ้าง  ปัญหาส่วนรวมบ้าง  บางทีถ้าเราปฏิบัติกับมันไม่ถูก  มันก็เสีย เสียให้กับจิตใจของเรา  แล้วส่วนรวมก็แก้ไขปัญหาไม่ได้   กลับไปซ้ำเติมปัญหาก็มี   เพราะฉะนั้นจะต้องเริ่มวางตัววางใจต่อปัญหา  เรื่องเลวร้าย  เหตุการณ์ไม่ดีนี้ให้ถูกต้อง
ที่กล่าวว่า ปัญหานั้นเป็นเรื่องฝึกใจและเป็นเรื่องลับปัญญา   เริ่มต้นก็คือว่า  เรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างนี้  ใจเราต้องตั้งรับให้ถูก  คือไม่ให้ใจนี้ถูกกระทบกระแทก  บีบคั้น  ขุ่นมัว  เศร้าหมอง  หรือว่าเหี่ยวแห้งหดหู่  หรือฟุ้งซ่านวุ่นวายอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่  เรียกว่า  รักษาใจเราไว้   ให้สงบ  หนักแน่น  มั่นคง  นี้ก็อันที่หนึ่งนะ 
แม้แต่ชีวิตของเรา  ที่ท่านเรียกว่า  ถูกโลกธรรมกระทบกระทั่งแล้ว  ลาภ - เสื่อมลาภ ยศ – เสื่อมยศ  นินทา - สรรเสริญ  สุข – ทุกข์  นี้ มันเกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา  ท่านก็ให้ใช้เป็นเครื่องฝึก  ฝึกเรา  จนกระทั่งเรามีความสามารถ ที่จะตั้งรับต่อโลกธรรมเหล่านั้นได้ถูกต้อง  แม้แต่ใช้มันให้เป็นประโยชน์  พอใช้ให้เป็นประโยชน์  เราก็ได้ฝึกตัวเอง
อย่างเรื่องของปัญหาในวงการพระสงฆ์   เริ่มต้น  ก็รักษาใจของเราไว้ก่อน  การรักษาใจของเราสำคัญก็คือ ให้สงบ  หนักแน่น  มั่นคง  ไม่ถูกกระทบกระแทก  แล้วยกเรื่องให้ปัญญาจัดการ  ปัญหานั้นเป็นเรื่องของปัญญา  ไม่ใช่เรื่องของจิตใจ  ไม่ใช่เอาใจเข้าไปยุ่งกับปัญหา  กับความทุกข์  ซึ่งจะทำให้ใจนี้วุ่นวาย ใจนี้ก็พลอยทุกข์เดือดร้อนไปด้วย 
ปัญหาเป็นเรื่องของปัญญา  ปัญหานั้นต้องจัดการด้วยปัญญา   ใจก็ต้องรักษาให้เป็นปกติให้ดี  ใจมีสภาพที่ดี  ก็จะได้ใช้ใจนั้นทำงานของปัญญา   ใจต้องอยู่ในสภาพที่ดี  ใจนั้นเป็นที่ทำงานของปัญญา   ตัวปัญญาเป็นตัวที่จะจัดการปัญหา  แล้วถ้าที่ทำงานของปัญญาคือจิตใจไม่ดี  ปัญญาก็เสียโอกาสในการทำงาน เพราะฉะนั้น  จึงเป็นข้อจำเป็น  เป็นหลักการสำคัญที่ว่า  เมื่อเกิดปัญหา  เกิดเรื่องราวร้าย  ต้องรักษาใจให้ได้ ใจอยู่ในสภาพที่มั่นคง  หนักแน่น  สงบ  เป็นอย่างดีเลย แล้วปัญหามาก็ยกให้ปัญญา ปัญญาจัดการกับปัญหา คราวนี้เราก็ได้เรื่องแล้ว   ก็จะแก้ไขปัญหาได้
อย่างเรื่องในวงการพระสงฆ์ในเวลานี้ ถ้าเรามองด้วยปัญญาในแง่หนึ่ง อาตมาเคยเขียนหนังสือมาหลายเรื่อง หลายครั้งแล้ว  เรื่องประเภทนี้  เคยเกิดขึ้นมา  ไม่ใช่ครั้งเดียวนะ หลายท่านที่อายุมากๆ ก็เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายตรงนี้มา   แง่หนึ่งที่จะมอง  ก็จะบอกว่าพระสงฆ์นี้ถือว่า  ใช้ภาษาฝรั่งเรียกว่า  เป็น clean ของสังคมในแง่ของคุณธรรม จริยธรรม แล้วสังคมของไทยเรานี้  แม้แต่ส่วนที่ถือว่าเป็น clean สุดยอดดีนี้  ยังแย่ขนาดนี้  แล้วสังคมไทยส่วนใหญ่จะไปทางไหน
อันนี้กลายเป็นเครื่องเตือนเรานะ  ว่าอย่าได้ประมาท  ให้มาตรวจสอบตัวเองดู  ว่าตื่นขึ้นมาเสียเถิด  เราอาจจะตกอยู่ในความประมาทมานานแล้ว  สังคมไทยนี้อาจจะฟอนเฟะ  หรืออะไรไปอย่างรุนแรงแล้ว   มาจนถึงขนาดนี้  มาจนถึงส่วนที่เป็น clean นี้  แย่ไปด้วย   มันฟ้องแล้ว  ฉะนั้น  อย่าได้นอนใจ   อย่ามัวถกเถียงกันว่าอย่างนั้นอย่างนี้  โทษคนนั้นคนนี้  มาดูใจ   สังคมของตัวเอง  แล้วรีบตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นมา  รีบหาทางแก้ไขกัน  นี่แหละ  เป็นเรื่องที่หนึ่งที่ว่า  จะให้เราตื่นตัว  ไม่ประมาท
 แล้วก็มองว่าคนไทยทุกคน พุทธศาสนิกชน พุทธบริษัททั้งหมดนี้  เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา เป็นเจ้าของวัดวาอาราม พุทธศาสนา  วัดวาอาราม  ไม่ใช่เป็นของพระองค์ไหน   แน่นอน  เป็นของชาติ  ของแผ่นดินทั้งหมด  เพราะฉะนั้น  เรามีส่วนร่วมรับผิดชอบทุกคน  ที่ต้องแก้ไข   แล้วทำไมเราปล่อยอย่างนี้  ที่มีเหตุร้ายอย่างนี้เกิดขึ้น  เพราะว่าชาวพุทธคนไทยนี้  ปล่อยปละละเลยหรือเปล่า  ตกอยู่ในความประมาทสำรวจตัวเองให้ดี  ก็จะเห็นว่า  สาเหตุมันเป็นอย่างนั้นด้วย 
อาตมาอยากจะเท้าความ แม้ตั้งแต่เสียกรุง หมายถึงกรุงศรีอยุธยาที่ถูกเผานี้ แล้วเรากู้ชาติกู้แผ่นดินจนมากระทั่งบัดนี้   เรายังไม่ได้ฟื้นตัวเท่าที่ควรเลยนะ   ยังไม่ไปถึงไหน  เพราะฉะนั้น  ตื่นขึ้นมา  แล้วก็รีบสำรวจตัวเอง  รุกขึ้นมาก้าวหน้าเดินต่อไป  ตั้งตัว  ตั้งหลักให้ดี  มันจึงจะไปได้ 
การที่จะดูแล แก้ปัญหาด้วยปัญญานั้น  ก็คือว่า
 ๑. ดูสภาพตัวเองอย่างที่ว่านี้ 
 ๒. สืบสาวเหตุปัจจัย การแก้ไขด้วยปัญญา  
แม้แต่ดูปัญหามันเกิดมายังไง  ก็เกิดจากเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหา  
แล้วจะแก้ไขยังไง  ก็ต้องไปแก้ไขที่เหตุปัจจัยนั้นแหละ  แล้วตอนนี้เหตุปัจจัยยังไง  ทางฝ่ายพระ  ทางฝ่ายบ้านเมือง ทางฝ่ายประชาชนนี้มันมีเหตุกันทั้งนั้น  คือฝ่ายทำเหตุ  เพราะฉะนั้น  ไปวิเคราะห์แยกแยะกันให้ดี  เราก็จะเห็น ถ้าเห็นเหตุปัจจัย  เราก็เห็นทางแก้ไข
 เพราะฉะนั้น  อันนี้ก็ฝากไว้ว่า อย่ามัวไปโศกเศร้าเสียใจ ทำใจไม่สบาย ว้าวุ่น  ขุ่นหมองใจ  จะไปทางเหี่ยวแห้งหดหู่  หรือจะไปทางฟุ้งซ่าน  ไม่พอใจ  วุ่นวายใจ  อะไรก็ตาม  ไม่เอาทั้งนั้น เอาอยู่ในความสงบ  หนักแน่น  แล้วก็ให้ใจเป็นที่ทำงานใหญ่  เป็นที่ทำงานที่มีคุณภาพ สำหรับให้ปัญญามาทำงานอย่างได้ผล
ฉะนั้นต้องแยกอันนี้ให้ถูก  ใจเป็นที่ทำงานของปัญญา  เรื่องอย่างนี้มา  ใจไม่ต้องยุ่ง  ยกให้ปัญญา ปัญญาจัดการ  แล้วใจเราก็คอยตามดูด้วยความสบายใจว่า  มันก้าวหน้าไป  รู้ปัญหา  รู้ปัจจัย  เราก็สบายใจขึ้นเรื่อยๆ  ใจมีแต่เรื่องที่จะต้องรับมันให้ดี  เพราะฉะนั้น  ใจขุ่นมัวเศร้าหมอง  ปัญญาก็พลอยทำงานไม่ได้ผลไปด้วย
 ก็ขอให้โยมทุกท่าน ใจโล่งโปร่งสบายซะ  ไม่ต้องไปขุ่นมัวเศร้าหมองกับเรื่องนี้

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ตลกชีวิต


~ วันใดที่พกร่มออกจากบ้านฝนดันไม่ตก วันใดที่ฝนตกดันไม่ได้พกร่ม!

~ ช่วงที่ทำงานเจ้านายไม่เคยมาดู ช่วงที่แอบงีบเจ้านายจะเดินมาดูทำไม?

~ คนที่ฉันชอบกลับไม่ชอบฉัน คนที่ฉันไม่ชอบมันก็ไม่ชอบฉันเหมือนกัน!

~ ตอนเป็นเด็กอยากโตไวๆ พอโตเป็นผู้ใหญ่อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

~ ตอนเป็นเด็กพอดิ้นดุกดิกได้พ่อแม่บอกเต้นเลยๆ พอโตเป็นหนุ่มเป็นสาวอยากเต้นพ่อแม่บอก -ึงจะไปเต้นทำไม?

~ ตอนเป็นเด็กเกาะแข้งเกาะขาพ่อแม่ พ่อแม่ไล่ยังไงก็ไม่ยอมหนีไป พอโตเป็นหนุ่มเป็นสาวพ่อแม่ฉุดมือฉุดขาไว้ ยังไม่ได้ออกปากไล่ ก็ทิ้งพ่อแม่ไป

~ ก่อนที่ยังไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร เราพูดคุยสื่อสารกันทุกวัน หลังจากมีอุปกรณ์สื่อสาร เรากลับพูดคุยสื่อสารกันน้อยลง

...
คนสมัยนี้ก็แปลก
เรียกลูกตัวเองว่าไอ้หมา แต่กลับเรียกหมาว่าลูก
ถนนยิ่งมายิ่งกว้าง ใจคนยิ่งมายิ่งแคบ
บ้านเรือนยิ่งมายิ่งสูง ใจคนยิ่งมายิ่งต่ำ
เงินทองยิ่งมายิ่งมาก ความสุขยิ่งมายิ่งน้อย
คนเมื่อก่อนหน้าเหมือนสัตว์แต่ใจเหมือนพระ เดี๋ยวนี้หน้าคนสวยเหมือนพระ แต่ใจเหมือน...

.....
Cr. นุสนธิ์บุคส์


วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ความแตกต่างระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระเจ้า

ความแตกต่างระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระเจ้า
คุณสามารถตั้งภาคีใดๆหรือสงสัยต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าได้แม้คุณจะเป็นพุทธศาสนิกชนหรือไม่ก็ตาม พระบรมศาสดาตถาคตเจ้าทรงตรัสไว้นานแล้วว่า ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทาง อย่าพึ่งเชื่อหากยังไม่ได้พิจารณาด้วยสติปัญญาของตัวเองก่อน แต่ถ้าคุณเป็นศาสนิกของพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้า (ศาสนาที่เป็นเทวนิยม มียิว คริสต์ อิสลาม ฮินดู เป็นต้น)ในนามผู้ศรัทธาคุณจะไม่สามารถตั้งภาคีใดๆกับพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าได้เลย โดยประการทั้งปวง

      -มหาโทน-
   May 17,2018
 #ศาสนาเปรียบเทียบ

Most watched