วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

[Update Tech. NEWS] Management Engine firmware สุดยอดเฟร์มแวร์ลับของทาง Intel ถูกค้นพบได้แล้วผ่านทางทางอุปกรณ์ที่ใช้ช่องเชื่อมต่อแบบ USB

...เมื่อไม่นานมานี้นั้นได้มีการเผยข้อมูลออกมาครับว่า Management Engine firmware หรือเฟร์มแวร์สุดลับของทาง Intel ที่ถูกผนวกเข้ากับชิปเซ็ทเมนบอร์ดของทาง Intel เองมาอย่างเนิ่นนานได้ถูกค้นพบแล้วผ่านทางอุปกรณ์ที่ใช้การเชื่อมต่อผ่านทาง USB ซึ่งผู้ที่ค้นพบนั้นได้บอกเอาไว้ว่า(กึ่งให้สัญญา) จะนำเอาอุปกรณ์ดังกล่าวมานำเสนอวิธีการที่ค้นพบ Management Engine firmware นั้นคือ God-mode hack แถมยังได้บอกเอาไว้อีกครับว่าจะมีการสาธิตวิธีการดั่งกล่าวนี้ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ครับ

สำหรับ Management Engine firmware นั้นเป็นเฟิร์มแวร์ที่ทาง Intel ใช้เป็นอีกแพลตฟอร์มหนึ่งต่างหากซึ่งมีทั้งหน่วยประมวลผลและระบบปฎิบัติการเป็นของตัวเองซึ่งจะทำให้ทาง Intel สามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลของตัวเมนบอร์ดได้ตลอดเวลาจากระยะทางไกลครับ Management Engine firmware ตัวนี้นั้นถือว่าเป็นประโยชน์ของทาง Intel เพื่อที่จะใช้เพื่อจัดการระบบต่างๆ บนเมนบอร์ด(รวมไปถึงในส่วนของตัวเครื่องที่ผู้ใช้ทำการใช้อยู่)
แต่ใช่ว่ามันจะมีแค่ประโยชน์เท่านั้นครับเพราะถ้าหากผู้ไม่หวังดีสามารถตรวจสอบพบเจอเจ้า Management Engine firmware นี้ได้นั่นหมายความว่าผู้ไม่หวังดีเองนั้นก็สามารถที่จะใช้ Management Engine firmware เป็นช่องทางในการโจมตีพร้อมขโมยข้อมูลของผู้ใช้ทั่วไปได้เช่นเดียวกัน ทาง  Intel เองนั้นได้มีการป้องกันและเก็บความลับเรื่องของตำแหน่งของ Management Engine firmware ดังกล่าวไว้เป็นเวลานาน ทว่าตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้วครับ
วิธีการเจาะระบบที่ผู้พบที่อยู่ของ Management Engine firmware อย่าง God-mode technology นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่เอามากๆ ครับ วิธีการดัังกล่าวนี้นั้นยังมีเอกสารทางวิชาการหรือข้อมูลต่างๆ เผยแพร่จำนวนน้อยเป็นอย่างมากซึ่งคาดว่าน่าจะมีการปิดบังวิธีการเจาะระบบดังกล่าวเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเอาวิธีการดังกล่าวไปใช้ในการเจาะระบบได้ครับ(แต่คิดในทางกลับกันว่าเมื่อมีผู้ค้นพบแล้วนั่นหมายถึงอีกไม่นานนักก็จะมีวิธีการป้องกันออกมาเหมือนกันครับ)
ที่มา : theregister
By EDDY

INSPIRATION { Baipru Cafe}


INSPIRATION { Baipru Cafe} Official Music Video

คำร้อง/ทำนอง   เด็กหญิงดากานดา ชุมแก่น (Baipru Cafe ) อายุ 11 ปี ชั้น ป.5  โรงเรียนบ้านโชคนาสาม อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์

 ขอขอบคุณวีดีโอจาก
YOUTUBE.COM : { Baipru Cafe} 

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เพลง ปล่อย อ้น ธวัชชัย ชูเหมือน

ขอขอบคุณวีดีโอจาก : นครออนไลน์

○เนื้อเพลง○

ใครจะชิงใครจะชังมันก็ช่างหัวเขา แค่ตัวเรารู้เราช่างเค้าประไร

ใครจะชักใครจะแช่งใครจะแกล้งใครจะหยัน ก็ให้ช่างหัวมันก็ให้ปล่อยเค้าไป

ใครจะชมใครจะเชิดว่าประเสริฐเลิศหรู ตัวเรารู้เราอยู่ปล่อยเค้าชมไป

ใครจะรักใครจะเกลียดใครจะเสียด ใครจะสีก็เรารู้ตัวดีปล่อยเค้าทำไป..



เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย เอาอะไรมากมายในความอนัตตา

โลภไปทำไมช่วงชิงแข่งขัน สุดท้ายเหมือนกันต้องไปป่าช้า

จะเอาอะไรแค่รักโลภโกรธหลง ไม่มีความมั่นคงบนกิเลสตัณหา

เกิดแก่เจ็บตายใยจะไปยึดมั่น สรรพสังขารล้วนอนิจจา

ปล่อยวางมันเสีย ทุกโขติณณา...

ใครจะเมินใครจะมองใยจะต้องไหวหวั่น ใครจะใส่ร้ายกันใยจะต้องสนใจ 

ใครจะดีใครจะเลวมันก็เรื่องของเขา ใครจะนินทาเราใยจะต้องทุกข์ใจ 

ใครจะล้อใครจะด่าใยจะต้องว่าตอบ ใครไม่สนใครไม่ชอบใยจะต้องใส่ใจ 

ใครจะคิดใส่ความใยจะต้องวุ่นจิต หากตัวเราไม่ผิดจะไปคิดทำไม...

เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย ประดุจดังต้นไม้ล้มทับโลกา

หมดลมเมื่อไรหาประโยชน์ใดเล่า ล้วนต้องถูกเผาหามไปป่าช้า

ชีวิตยังมีสร้างความดีไว้เถิด ได้ไม่เสียชาติเกิด ได้ไม่ต้องอายหมา

อันว่าความตายคือสัจธรรมความเที่ยง สิ้นสรรพสำเนียงเน่าเหม็นขึ้นมา

จะเอาอะไร...จะเอาอะไรกันนักหนา...

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

"โลกว่าง" นั้น ก็เพราะว่างจากสาระ หรือจากความหมายที่ใคร ๆ ควรจะไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวตน หรือของตน

ในโลกนี้จะมีอะไรมากมายสักเท่าไรก็ตาม แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายที่จะเป็น "ตัวตน" ที่แท้จริงได้ ไม่มีความหมายที่จะเป็นของ ๆ ตน หรือของใครโดยแท้จริงได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นไปตามธรรมชาติ ใครจะไปนึกว่าเป็นของตนก็นึกได้ แต่ความจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ มีความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้นนั่นเอง
.
เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "โลกว่าง" นั้น ก็เพราะว่างจากสาระ หรือจากความหมายที่ใคร ๆ ควรจะไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวตน หรือของตน แต่ทีนี้มิได้หมายความว่า คนทุกคนจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น หมายความว่า ใครจะเกี่ยวข้องกับสิ่งอะไรตามที่ควรจะเกี่ยวข้องก็ได้ทั้งนั้น แต่อย่าได้ไปเกี่ยวข้องด้วยจิตใจที่ไปยึดมั่น สำคัญมั่นหมายเอาว่า เป็นตัวตน หรือเป็นของตน เพราะว่าพอไปยึดมั่นถือมั่นเข้าเท่านั้น ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมาทันที
.
ไม่จำเป็นจะต้องยึดมั่นถือมั่นสิ่งเหล่านั้น ก็เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นได้ จะแสวงหาก็ได้ จะบริโภคใช้สอยก็ได้ จะเก็บไว้ก็ได้ จะทำให้มากขึ้นไปก็ได้ ขอแต่อย่าได้เข้าใจผิดไปว่า เป็นตัวตน หรือเป็นของ ๆ ตน  เมื่อไม่มีความยึดถือว่า ตัวตน หรือของตน ก็ไม่มีความทุกข์เลย ดังนั้น คนเราอาจจะเสาะแสวงหาทรัพย์สมบัติ หรือสิ่งใดก็ได้ มีไว้ก็ได้ ใช้จ่ายก็ได้ ทำอะไรได้ทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์
.
นี้คือ ประโยชน์อันใหญ่หลวงของคำสอนของพระพุทธเจ้า คือทรง พระพุทธองค์ทรงหวังว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นอยู่โดยไม่ต้องมีความทุกข์ จะทำอะไรทุก ๆ อย่างได้โดยไม่ต้องมีความทุกข์ จะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ต้องมีการถูกเสียบแทงให้เจ็บปวดด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะไม่ยึดถือ สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์เลย
.
เช่นเดียวกับว่าเราจะบริโภคปลา เราก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้โดยไม่บริโภคก้างปลา แต่บริโภคส่วนที่ไม่เป็นอันตรายแก่เรา ข้อนี้ฉันใด ผู้ที่มีความรู้ในธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว อาจจะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ต้องไปผูกเข้ากับส่วนที่เป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นทุกข์แต่ประการใด ก็อาจจะเอาชนะโลกนี้ได้ เอาชนะโลกอื่นได้ กระทั่งอยู่เหนือโลกโดยประการทั้งปวงได้ นี้คือข้อที่มีความรู้เรื่องโลกถูกต้องว่า โลกนี้เป็นของว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อท่านผู้ใดได้ฟังว่า โลกว่าง ก็จงเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายอย่างนี้ ไม่ได้ทรงมุ่งหมายว่า โลกนี้ไม่มีอะไร
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : เทศน์งานศพ  มารดาคุณเรียม ปี พ.ศ. 2509
ฟัง https://goo.gl/53iTQz


Source : จดหมายเหตุพุทธทาส อินฺทปญฺโญ

พวกเราไหว้พระพุทธรูปแบบไหนกัน?

การไหว้พระพุทธรูปอย่างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ขอให้ทำกันอย่างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ขอร้องโดยไม่มีเหตุผล บวงสรวงอ้อนวอนต่อพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์  นี่มันคือไสยศาสตร์...แต่ถ้ากราบพระพุทธรูปว่า นี่เป็นสัญลักษณ์อย่างผู้ที่ช่วยโลก ช่วยโลกสำเร็จมาแล้ว มีคำสอนดับทุกข์ได้อย่างที่เรารู้อยู่ แล้วเรากราบพระพุทธรูปอย่างนี้ กราบพระพุทธรูปอย่างนี้เป็นพุทธศาสตร์

แต่คนโดยมากจะกราบพระพุทธรูปอย่างไสยศาสตร์ทั้งนั้น  แม้ที่เอามาแขวนคอก็เหมือนกันแหละ  แขวนอย่างไสยศาสตร์เป็นส่วนมาก  แถมยกแก้วเหล้าข้ามหัวเสียด้วยนะ  นี่ถ้าแขวนอย่างไสยศาสตร์  ถ้าว่ามันเป็นพุทธศาสตร์มันก็รู้ว่านี่คืออะไร คือใคร คือผู้ที่ทำหน้าที่อย่างไร เอาสัญลักษณ์ของท่านมาแขวนไว้ที่คอกันลืม และเพื่อจะทำตามท่านโดยสะดวก เราก็แขวนพระพุทธรูปในลักษณะเป็นพุทธศาสตร์

พุทธทาสภิกขุ

ที่มา : แสดงธรรมล้ออายุ ปี พ.ศ. 2525
ฟัง : http://sound.bia.or.th/catalogue.php?item_code=1415250527010

Source : (Facebook Fanpage) จดหมายเกตุ 100 ปี พุทธทาสภิกขุ

Ps..  ขออ้างเอาคำพูดของพระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อปัญญนันทภิกขุ ได้เคยกล่าวไว้ว่า
   ....  ในทางพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่า"ดลบันดาล"

ชึ่งมีนัยยะเดียวกันในธรรมบรรยายบทนี้ของท่านพุทธทาสครับ

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาล ทั่วประเทศ



Source : UPDATE : https://www.kaokonlakao.comติดตามความคืบหน้าล่าสุด  UPDATE : https://www.kaokonlakao.comขอขอบคุณ  www.kaokonlakao.com
เราอยากที่จะ ก้าว ไปให้ถึงที่สุด เท่าที่พลังของเราและทุกๆ คนจะมี เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่า... แค่ก้าวเล็กๆ จากทุกคน เมื่อรวมกันแล้ว... มันจะสามารถกลายเป็น“ก้าวยาวๆ” ขึ้นมาได้จริงๆ
- ตูน บอดี้สแลม

UPDATE : https://www.kaokonlakao.comSource : UPDATE : https://www.kaokonlakao.comติดตามความคืบหน้าล่าสุด  UPDATE : https://www.kaokonlakao.com


ระยะทาง257.85กิโลเมตร
วิ่งมาแล้ว6วันเวลารวม51:12:52ชั่วโมง
ยอดเงินบริจาค

97,259,630.20บาท

มอบให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าUPDATE : https://www.kaokonlakao.com


นายจิมมี่ ชวาลา นักธุรกิจผู้ประกอบการค้าผ้ารายใหญ่ของ จ.นครศรีธรรมราช จะสมทบโครงการร่วมบริจาคในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของ “ตูน บอดี้สแลม” ในนามของชาวนครศรีธรรมราชทุกคน คนละ 10 บาท รวมจำนวนเงิน 16 ล้านบาท


นายจิมมี่ ชวาลา นักธุรกิจผู้ประกอบการค้าผ้ารายใหญ่ของ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสังคมถึงการเป็นผู้ให้ จะสมทบโครงการร่วมบริจาคในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของ “ตูน บอดี้สแลม” ในนามของชาวนครศรีธรรมราชทุกคน คนละ 10 บาท รวมจำนวนเงิน 16 ล้านบาท


ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใด เนื่องจากทุกคนต่างทราบกันดีถึงการเป็นผู้ให้ของนายจิมมี่ และทุกครั้งที่นายจิมมี่ บริจาคสมทบทุนในงานบุญคราวละมากๆ นั้น จะไม่เคยประกาศในนามของตัวเองเลย แต่จะประกาศทุกครั้งในนามของ “ชาวนครศรีธรรมราช”


♢♢♢♢♢♢♢♢♢♢♢♢

 เผยประวัตินาย “จิมมี่ ชวาลา” มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ


เผยประวัตินาย “จิมมี่ ชวาลา” มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ หลังจากชาวพุทธแห่ติดตามข่าว บริจาคเงิน 28 ล้าน นำไปซื้อทองคำหนัก 20 กิโลกรัม เพื่อใช้บูรณะฯปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร-ผู้ดั้นด้นจากอินเดียสู่การเป็น“มังกรเมืองคอน”มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ-ยึด”กฎไตรลักษณ์”เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต
จากกรณีที่นายจิมมี่ ชวาลา อายุ 58 ปี คหบดีมหาเศรษฐีเจ้าของกิจการ “จิมมี่คลังผ้า”ใจกลางเมืองนครศรีธรรมราช จะบริจาคทองคำ 20 กิโลกรัม มูลค่า 28 ล้านบาทในนามชาวนครศรีธรรมราช เพื่อบูรณะฯ ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช
ที่มีคราบสนิมและหมองคล้ำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2558 และถวายเป็นพุทธบูชาและจนกลายเป็นข่าวที่สร้างความฮือฮายกย่องชื่นชมนายจิมมี่ อย่างกว้างขวาง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
(9 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าชาวพุทธแห่ติดตามข่าว บริจาคเงิน 28 ล้าน นำไปซื้อทองคำหนัก 20 กิโลกรัม เพื่อใช้บูรณะฯป ลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยได้เข้าไปติดตามความคืบหน้าของข่าวตามสำนักข่าวต่าง ๆ ในโลกออนไลน์หลายหมื่นคน โดยส่วนใหญ่อยากทราบถึงประวัติความเป็นมากของนายจิมมี่ มหาเศรษฐีผู้ใจบุญว่าเป็นใคร มาจากไหน
ทำไมจึงยอมควักเงินมหาศาลบริจาคเพื่อพุทธศาสนาและถวายเป็นพระราชกุศล นอกจากนี้ได้แห่เดินทางไปอุดหนุนซื้อผ้าร้านจิมมี่ และถามหาตัวนายจิมมี่เพื่อขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกจนร้านจิมมี่ มีผู้คนแน่นขนัดตลอดทั้งวัน
สำหรับประวัตินายจิมมี่ ชวาลา อายุ 58 ปี เป็นคนสัญชาติอินเดีย บิดาชื่อนายราม ชวาลา บิดาชาวอินเดียซึ่งนายราม และนายชม บิดานายราม (คุณปู่นายจิมมี่) ได้เดินทางมาจากประเทศอินเดีย เข้ามาปักหลักทำมาหากินในเมืองนครศรีธรรมราช
โดยค้าขายผ้า ต่อมาได้เปิดเป็นร้านขายผ้าชื่อ “ร้านนายชม” ใน ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ในขณะที่นายราม บิดานายจิมมี่ นอกจากจะขายผ้าแล้วยังชื่นชอบ”มวยไทย” ศิลปะการต่อสู้ของเมืองไทยจึงได้ฝึกฝนและชกมวยเป็นอาชีพ โดยชื่อ “รามซิง ศิษย์สุริยะ” จนมีโอกาสเข้าไปชกในเวทีราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร จนมีชื่อเสียงโด่งดัง
นายราม บิดา ได้หันมาเปิดร้านค้าผ้าในตลาดท่าวัง อ.เมืองนครศรีธรรมราชอย่างเต็มตัว โดยธุรกิจรุ่งเรือง เป็นที่รู้จักกันดีของชาวนครศรีธรรมราช ต่อมาในปี 2518 นายจิมมี่ ได้เดินทางจากประเทศอินเดียเข้ามาช่วยดูแลร้านขายผ้าของนายราม บิดา จนกระทั่งนายราม บิดาได้เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 59 ปี นาย นายจิมมี่ ชวาลา จึงได้สืบทอดธุรกิจค้าผ้าต่อจากนายรามบิดา โดยปรับปรุงและเปิดเปิดร้านค้าผ้าใหม่ชื่อร้าน “จิมมี่ คลังผ้า” บริเวณริมถนนราชดำเนิน ใกล้สี่แยกท่าวัง ต.ท่าวัง อ.เมืองนครศรีธรรมราช จนธุรกิจค้าผ้าเจริญรุ่งเรือง เติบโตมาจนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 40 ปีมาแล้ว
โดยตลอดระยะเวลาที่นายจิมมี่ ทำธุรกิจค้าผ้าใน จ.นครศรีธรรมราช จนฐานะร่ำรวยระดับเศรษฐีระดับต้น ๆ ของ จ.นครศรีธรรมราช แต่ไม่เคยแล้งน้ำใจและไม่เคยบุญคุณแผ่นดินไทย
นายจิมมี่ ได้เคยบริจาคช่วยเหลือด้านสาธารณะบุญงานกุศลต่าง ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชแบบไม่เคยคิดที่จะเอาคืนเป็นจำนวนมากและอย่างต่อเนื่อง และส่วนใหญ่จะบริจาคในนามชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่นเดียวกับการบริจาคเงิน 28 ล้านบาท ใช้ซื้อทองคำ 20 กิโลกรัม เพื่อบูรณะฯ แก้ปัญหาคราบสนิมปลียอดพระธาตุนครศรีธรรมราช
นายจิมมี่ ได้ระบุชัดเจนว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่พี่น้องชาวนครศรีธรรมราช ที่มาอุดหนุนร้านค้าผ้าของนายจิมมี่ มาตลอดเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วเงินยังเหลือจึงนำเงินเหล่านี้กลับคืนสู่สังคมนครศรีธรรมราช และบริจาคให้ในนามชาวนครศรีธรรมราช บ่งบอกถึงการเป็นเศรษฐีใจบุญและทดแทนบุญคุณแผ่นดินนครศรีธรรมราช และแผ่นดินไทยอย่างแท้จริง
“ในการมอบเงิน 28 ล้านในครั้งนี้เราเป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์เท่านั้น โดยเงินนี้เป็นเงินที่มาจากประชาชนชาวนครศรีธรรมราชทั้งนั้น ประชาชนมาอุดหนุนซื้อผ้าจากร้านของเราได้เงินมาหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วเราก็เก็บเอาไว้ตามปกติ แต่นี่เงินมันเหลือจะเอาไปไหน โดยตาม “กฎไตรลักษณ์”ซึ่งเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ไม่มีใครเอาอะไรไปได้
เมื่อมันเป็นเงินที่พี่น้องชาวนครศรีธรรมราชมาอุดหนุนร้านจิมมี่และมันเหลือจะเอาไปไหนละ จะให้ลูกหลานหมดเลยหรือ ตัวผมเองพ่อแม่ไม่ได้ทำอะไรไว้ให้มากมายนอกจากให้ชีวิตที่เป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด จะให้เราส่งต่ออะไรให้ลูกหลานมากมายมันคงไม่ใช่ เขาก็สร้างของเขาเองได้ ดังนั้นเราก็เอาส่วนที่เหลือนี้ถวายกลับให้แผ่นดิน เพื่อเป็นพระราชกุศล ทุกคนก็มีรอยยิ้ม พี่ ๆ นักข่าวเองก็มีรอยยิ้มเพราะมันไปในที่ที่ดีทั้งหมด ถ้าเราคิดดี พูดดี และเราทำดี มันก็คือสิ่งดี ๆ ก็ควรจะปล่อยความดีไว้ให้เป็นความดี”นายจิมมี่ กล่าวย้ำหนักแน่น
นายจิมมี่ ได้สร้างฮือฮาในสังคมอีกครั้งหนึ่งเมื่อ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ปี 2549 นายจิมมี่ ได้จัดงานแต่งงานอย่างสุดหรูให้นายนายวิษณุหรือแซนดี้ ลูกชายวัย 26 ปี โดยทุ่มเงินกว่า 3 ล้านบาทปิดโรงแรมทวินโลตัส เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ใจกลางเมืองนครศรีธรรมราช ทั้ง 18 ชั้น เชิญแขกกว่า 2,000 คนมาร่วมงานจนแน่นโรงแรม โดยประกาศไม่ขอรับซองจากแขก แต่หากแขกที่มาร่วมงานท่านใดจะให้ซองก็ให้ใส่ในตู้บริจาค ปรากฏว่าได้เงินกว่า 1 ล้านบาท นำขึ้นทูลเกล้าถวายโดยเสด็จพระราชกุศล
นอกจากนี้ยังประกาศว่าใครสวมใส่ชุดสาหรี่ในงานยังประกาศแจกเงิน  1 แสนบาททันที สำหรับแขกคนไหนที่แต่งชุดสาหรี่มาร่วมงานแต่งลูกชายจนจะมอบเงินให้คนละ 100,000 บาท และในวันงานมีผู้แต่งชุดสาหรี่มาร่วมงานได้รับเงินคนละ 100,000 บาทไปหลายคนจนเป็นที่ฮือฮามาจนถึงทุกวันนี้
“จิมมี่” เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและด้วยจิตวิญญาณของการเป็นผู้ให้ ที่สร้างสีสรร เรื่องราว และสร้างคุณประโยชน์นานาประการให้เกิดขึ้น โดยนายจิมมี่ ประกาศด้วยสำเนียงภาษาไทยปักษ์ใต้อย่างชัดเจนว่า "ผมเป็นคนนคร " ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ยกย่องว่า“มังกรเมืองคอนมหาเศรษฐีใจบุญ นายจิมมี่ ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น "คนดีศรีเมืองนคร"
และได้รับปริญญาธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารธุรกิจ (การตลาด) จากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช โดยนายจิมมี่ ยึดหลักการ “รู้คุณ–ทดแทนคุณ” และหลักธรรมของพระพุทธศาสดาคือกฏ“ไตรลักษณ์” อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายถึงเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไฟ เป็นหลักในการดำเนินชีวิตและธุรกิจมาโดยตลอด.

ไพฑูรย์ อินทศิลา/กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ /นครศรีธรรมราช

ขอขอบคุณเนื้อหา/ที่มา

Most watched