วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทุกอย่างในโลกนี้...ล้วนมีเวลาของมันเสมอ


 
ไม่มีนกตัวไหน "บิน" ได้ตลอดไป
และไม่มีนกตัวไหน "เกาะกิ่งไม้" ได้ตลอดเวลา

ชีวิต...มีจังหวะก้าวเดินของมัน
หยุด...เมื่ออยู่ในสภาวะต้อง...หยุด
ไปต่อ...เมื่อถึงเวลาที่ต้องไป

ทุกอย่างในโลกนี้...ล้วนมีเวลาของมันเสมอ

CR สุริศา รักในหลวง

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โลกไม่ตามใจเรา

 
"โลกไม่ตามใจเรา
เมื่อเราอยากเห็นดอกไม้บาน
แต่ยังไม่ถึงเวลาบานของดอกไม้
สิ่งที่ทำได้คือรอคอย"

ดังตฤณ
เครดิต FB/ ศิลา แห่ง ภูผา

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ดูทีวีออนไลน์

ดูทีวีออนไลน์
| ทีวีย้อนหลัง | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อเรา

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"Will I do it again?"


» ขับเคลื่อนชีวิตด้วยคำถาม : "Will I do it again?" ...โดย วินทร์ เลียววาริณ 

เคยถามตัวเองไหม หลังจากใช้ชีวิตมายาวนานระยะหนึ่งว่า หากเราสามารถย้อนเวลากลับคืนสู่วันที่เราตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราจะยังคงกระทำเรื่องนั้นหรือไม่ 

ยกตัวอย่างเช่น เราจะยังเลือกคณะวิชาที่เราเรียนจนจบไหม, จะยังปักหลักอยู่ที่ทำงานเดิมจนเกษียณไหม, จะยังแต่งงานกับใครคนหนึ่งซึ่งเราอยู่กินด้วยกันนานสามสิบปีไหม, จะยังใช้ช
ีวิตสไตล์ที่เราเคยชินนั้นไหม ฯลฯ

ฝรั่งใช้คำว่า “Will I do it again?”

คำถามนี้มีนัยว่า เราเสียใจหรือรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดต่อสิ่งที่เราได้กระทำมาหรือไม่

มันยังมีนัยของความพอใจ ความสมหวังในชีวิต ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะเรื่องที่กระทำสำเร็จบางเรื่องก็ไม่อยากทำใหม่ เช่น อยากเป็นนักข่าว แต่จับพลัดจับผลูกลายเป็นดาราหนังชื่อดัง ได้เงินได้ทองมากมาย แต่ไม่มีโอกาสเป็นนักข่าวสมใจฝัน

----

“Will I do it again?” ครอบคลุมทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่การเล่าเรียน โรงเรียนที่เลือก สายวิชาที่เรียน อาชีพการงานที่ทำ บริษัทที่ปักหลัก การคบเพื่อน การแต่งงาน การมีลูก ไปจนถึงการเลือกสไตล์การใช้ชีวิต

หลังจากผ่านชีวิตถึงวัยกลางคน หากเราตอบว่า “I’ll do it again.” ก็แสดงว่าเราพอใจกับสิ่งที่เราทำมากถึงมากที่สุด หากเกิดใหม่ก็อยากแต่งงานกับคนคนนี้ไปอีกสักร้อยชาติ หากต้องเลือกทำงานอีก ก็จะทำสายทางเดิม กับเจ้านายคนเดิมนี่แหละ

หากเราตอบคำถามนี้ไม่ได้ หรือตอบว่า “I won’t do it again.” ก็บ่งว่าเราไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ทำมา ไปจนถึงระดับผิดหวัง

----

อย่างไรก็ตาม บางคนตอบว่า “I won’t do it again.” ทั้งที่เขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ! และบางคนตอบว่า “I’ll do it again.” ทั้งที่ล้มเหลวจากสิ่งที่ทำ

วินเซนต์ แวน โก๊ะห์ เป็นจิตรกรไส้แห้ง ไม่มีใครซื้อรูปที่เขาวาด แต่เขาก็ไม่ยอมเลิกวาดรูป

นักเขียนไม่น้อยทำงานแทบตาย ได้เงินไม่พอยาไส้ แต่ก็อยากทำอีก ทั้งที่ไม่ใช่พวกที่มีความสุขจากการทำร้ายตัวเอง หรือ masochist

บางคนเล่นกีฬาเสี่ยงภัย เช่นปีนเขา ดิ่งพสุธา ฯลฯ ประสบอุบัติเหตุเอาชีวิตแทบไม่รอด เมื่อหายดีแล้วก็บอกว่า “I’ll do it again.”

ความพอใจของคนเหล่านี้อยู่ที่การได้ทำ ไม่ใช่ความสำเร็จ

นี่คือความแตกต่างระหว่างความอยากทำแบบปกติ กับความอยากทำระดับ ‘ไม่ได้ทำขอตายดีกว่า’

----

“I’ll do it again.” กับ “I won’t do it again.” เป็นแค่ดัชนีวัด ‘ผลประกอบการ’ ในงานหนึ่งๆ เท่านั้น หากอ่านมันออก เราก็อาจ สร้างโอกาสปรับตัว ปรับปรุงชีวิต หรือปรับทิศทางเพื่อให้มีชีวิตที่ดีสมใจมากขึ้น

จุดที่น่าสนใจกว่าคือกรณีของคนที่ตอบว่า “ฉันจะไม่ทำอีก” ทั้งที่พวกเขาประสบความสำเร็จ มันแสดงทัศนคติของคนที่มองโลกอีกแบบหนึ่ง นั่นคือการอยากลองทางสายอื่นดูบ้าง

นาย ก. ประสบความสำเร็จในการงาน เป็นถึงประธานบริษัท รายได้มหาศาล มีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับจากโลก แต่กระนั้นนาย ก. ก็คิดว่า ชาติหน้าหากเกิดใหม่จริง ก็อาจลองทำอย่างอื่นบ้าง ไม่อยากซ้ำรอยความสำเร็จเดิมๆ อีกหลายๆ ครั้ง

คนแบบนี้เห็นว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ จึงน่าลองทำหลายๆ เรื่อง เพราะเราไม่สามารถทำทุกอย่างได้หมดในชาติเดียว ดังนั้นสมมุติว่ามีชาติหน้า ก็อยากลองทำอย่างอื่นบ้าง

----

พวกเขาเห็นว่าประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง จะเป็นไร เพราะชีวิตเป็นส่วนผสมของทั้งสองอย่าง แม้ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด เราก็อาจมีความสุขได้

ทัศนคติการใช้ชีวิตแบบนี้หลุดพ้นจากกรอบของความสำเร็จ-ความล้มเหลวไปทันที

พวกเขาเห็นว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคำตอบ I’ll do it again. หรือ I won’t do it again. ก็คือการเรียนรู้จากบทเรียนทั้งจากความสำเร็จและความล้มเหลว ทั้งจากวันดีและวันไม่ดี

คนเหล่านี้เปลี่ยนโจทย์จากการไปถึงจุดหมายเป็นการได้ออกเดินทางไปยังจุดหมาย ไหนๆ ก็เกิดมาในโครงสร้างชีวิตแบบคนแล้วก็ใช้ชีวิตแบบคนให้สุดๆ ไปเลย

หากชาติหน้าเกิดเป็นหมา ลิง ปลาดุก ก็จะใช้ชีวิตให้สุดๆ แบบหมา ลิง ปลาดุก

เพราะเกิดเป็นอะไรไม่สำคัญเท่าเกิดมาแล้วใช้ชีวิตให้เต็มเปี่ยมหรือเปล่า

----

Credit : บทความ "Will I do it again?" จาก winbookclub.com

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คำฅนคมกริบ ความคิดฅนไทย

หากวินาทีนี้คุณกำลังเจ็บ..
ให้อดทนไปอีก ร้อย พัน หมื่น หรือแสน วินาที .. แล้วคุณจะรู้ ว่าความเจ็บทำอะไรคุณไม่ได้นาน ...
เครดิต 
คำฅนคมกริบ ความคิดฅนไทย

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โอ๋ว่าความรัก


ความรักนั้น มันก็เหมือนกับ 'ผีเสื้อ'
ยิ่งคุณวิ่งเข้าหามันเท่าไหร่ มันก็จะห่างคุณออกไปเท่านั้น
แต่ถ้าคุณปล่อยมันไป มันจะเข้ามาหาคุณเองแหละ
ถ้าคุณไม่คาดหวังกับมันมาก
ความรักสามารถทำให้คุณมีความสุข
แต่ มันก็สามารถทำให้คุณ เจ็บปวดได้บ่อยๆ เหมือนกัน

แต่ความรักเป็นสิ่งที่พิเศษ
ถ้าคุณได้ให้มันกับใครสักคน ที่เค้าดีที่สุดสำหรับคุณ
ดังนั้นค่อยๆ หาไปละกันนะและเลือกคนที่ดีที่สุด สำหรับคุณ

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความสุข-ความทุกข์


ความสุขเก็บเกี่ยวได้ระหว่างทาง


ไม่จำเป็นต้องไปให้ถึงปลายทาง


แล้วจึง…มีความสุข 


แต่คนส่วนใหญ่มักไม่มีความสุข


เพราะมุ่งแต่เก็บทุกข์ตลอดทาง


เครดิต จากFB/Krongchit Yaemtripat

ส ภ า วะ ต า ม ลํ า พั ง

ส ภ า วะ ต า ม ลํ า พั ง

ใครๆ ก็รู้ว่าเราเกิดมาตามลำพัง
และจะตายไปตามลำพัง
โดยระหว่างนั้น 
เราจะต้องเผชิญสภาวะตามลำพังนับครั้งไม่ถ้วน
ทั้งในกรณีที่เราเลือกเอง และกรณีที่หมดทางเลือก
แต่กรณีหลังจะกัดกร่อนชีวิตเราได้ลึกกว่า
และเมื่อลึกมากก็จะเกิดแผลที่รักษาไม่หาย

เมืองใหญ่สร้างวิถีชีวิตตามลำพังขึ้นมากมาย
ไม่ค่อยมีใครรู้จักใคร ไม่ค่อยมีใครสนใจใคร
เพราะต่างอยู่บนสายพานอันเร่งรีบของเมืองใหญ่
ที่หมุนไปข้างหน้าโดยไม่มีวันหยุด
เมืองใหญ่ที่ทำตัวเราเล็กลงและหัวใจลีบลง
เราเหงาแต่บอกใครไม่ค่อยได้
เราอยากมีเพื่อน แต่หาเพื่อนไม่ค่อยได้
เราอยู่ตามลำพังบนรถไฟฟ้า บนรถเมล์ บนรถแท็กซี่ ฯลฯ
ปากของเราปิดเงียบ เนื่องจากเราอยู่ตามลำพัง

มีทั้งการอยู่ตามลำพังที่รู้สึกปลอดภัยและไม่ปลอดภัย
อยู่ตามลำพังที่รู้สึกสงบและรู้สึกว้าวุ่น
อยู่ตามลำพังแม้จะอยู่ด้วยกันสองคน ฯลฯ
เมื่อความรักก้าวมาถึงปลายทาง
และต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง
สภาวะตามลำพังก็จะเกิดขึ้นทันที
เมื่อความตายก้าวเข้ามาเพื่อปิดประตูชีวิต
สภาวะตามลำพังก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน

เมื่อใครสักคนเดินทางไปหาใครอีกคน
ด้วยความรักและความคิดถึง
สภาวะตามลำพังก็จะค่อยๆ หมดไป
ตามระยะปลายทางที่ใกล้เข้ามา
เมื่อคนเหงาสองคนมาพบกันและพึงพอใจซึ่งกัน
ทั้งคู่จะช่วยกันทำลายสภาวะตามลำพังของอีกฝ่าย

บ่อยครั้งที่เราต้องอยู่ตามลำพัง
และบ่อยครั้งที่เราไม่อยากอยู่ตามลำพังเลย
เมื่อเรานอนหลับ เราก็จะหลับตามลำพัง
และเมื่อฝัน ในฝันอาจจะมีคนมากมาย
แต่เราก็ฝันตามลำพัง

ยามทุกข์โศก
ไม่มีใครร้องไห้หรือเสียใจเท่าเราได้
หลายเรื่องในชีวิต เราต้องก้าวข้าม
และจัดการตามลำพังเท่านั้น


บางส่วนจากบท : สภาวะตามลำพัง
หนังสือ : คนเล็กๆ ที่หายตัวได้
ญามิลา : เขียน
พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม 2548

Most watched