วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

พรบ.แรงงานฉบับที่ 6 ปี พ.ศ.2560

นายจ้างลูกจ้างในการทำงานร่วมกันจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด เพราะกฎหมายแรงงานเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน นายจ้างและลูกจ้างจะกำหนดกฎกติกามารยาทให้มีมาตรฐานขั้นต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไม่ได้ เพราะเป็นกฎหมายที่คุ้มครองแรงงานไม่ได้คุ้มครองนายจ้าง เพื่อให้ทำงานร่วมกันอย่างสงบสุข เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560 ได้มีการแก้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับที่ 6 พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับลูกจ้างบางกลุ่มบางประเภท การจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ลดขั้นตอนไม่ต้องส่งให้กับทางราชการอีกต่อไป เพียงแต่ประกาศโดยเปิดเผยเท่านั้น และสามารถใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย รวมถึงการแก้ไขข้อบังคับก็เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ได้มีการกำหนดเกี่ยวกับเรื่องการเกษียณอายุของลูกจ้างให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้างและต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน การฝ่าฝืนไม่จ่ายเงินเลิกจ้างจากการเกษียณอายุมีบทลงโทษจำคุกและปรับ ซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รายละเอียดปรากฏตามเนื้อหาของกฎหมายข้างล่างนี้


พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560


อัตราค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับลูกจ้างบางกลุ่มบางประเภท
มาตรา 87 ในการพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้คณะกรรมการค่าจ้างศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นโดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ  มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม


การพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะกำหนดให้ใช้เฉพาะกิจการ งานหรือสาขาอาชีพประเภทใด เพียงใด ในท้องถิ่นใดก็ได้


เพื่อเป็นการส่งเสริมการจ้างงานและการคุ้มครองแรงงานสำหรับลูกจ้างบางกลุ่มหรือบางประเภทคณะกรรมการค่าจ้างอาจพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่แตกต่างจากที่พิจารณากำหนดในวรรคสองเพื่อใช้สำหรับลูกจ้างกลุ่มนั้นหรือประเภทนั้นในกิจการ  งานหรือสาขาอาชีพประเภทใด เพียงใดในท้องถิ่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ค่าจ้างดังกล่าวต้องไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนดตามวรรคสอง


ในการพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ให้คณะกรรมการค่าจ้างศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในแต่ละอาชีพตามมาตรฐานฝีมือที่กำหนดไว้ โดยวัดค่าทักษะฝีมือ ความรู้และความสามารถ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนด


การจัดให้มีข้อบังคับการทำงาน
มาตรา 108 ให้นายจ้างซึ่งมีลูกจ้างรวมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป จัดให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นภาษาไทย และข้อบังคับนั้นอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการ ดังต่อไปนี้

(1) วันทำงาน เวลาทำงานปกติ และเวลาพัก
(2) วันหยุดและหลักเกณฑ์การหยุด
(3) หลักเกณฑ์การทำงานล่วงเวลาและการทำงานในวันหยุด
(4) วันและสถานที่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุด
(5) วันลาและหลักเกณฑ์การลา
(6) วินัยและโทษทางวินัย
(7) การร้องทุกข์
(8) การเลิกจ้าง ค่าชดเชย และค่าชดเชยพิเศษ

ให้นายจ้างประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่นายจ้างมีลูกจ้างรวมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และให้นายจ้างจัดเก็บสำเนาข้อบังคับไว้ ณ สถานประกอบกิจการหรือสำนักงานของนายจ้างตลอดเวลา

ให้นายจ้างเผยแพร่และปิดประกาศข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานโดยเปิดเผย ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้าง หรือเพิ่มเติมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยก็ได้ เพื่อให้ลูกจ้างได้ทราบและเข้าถึงได้โดยสะดวก


การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับการทำงาน
มาตรา 110
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่นายจ้างประกาศใช้ตามมาตรา 108 ให้นายจ้างประกาศข้อบังคับที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น และให้มาตรา 108 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม


การเกษียณอายุให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้าง
มาตรา 118/1 การเกษียณอายุตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันหรือตามที่นายจ้างกำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้างตามมาตรา 118 วรรคสอง


ในกรณีที่มิได้มีการตกลงหรือกำหนดการเกษียณอายุไว้  หรือมีการตกลงหรือกำหนดการเกษียณอายุไว้เกินกว่าหกสิบปี ให้ลูกจ้างที่มีอายุครบหกสิบปีขึ้นไปมีสิทธิแสดงเจตนาเกษียณอายุได้โดยให้แสดงเจตนาต่อนายจ้างและให้มีผลเมื่อครบสามสิบวันนับแต่วันแสดงเจตนา และให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุนั้น ตามมาตรา 118 วรรคหนึ่ง


การทำงานร่วมกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างต้องอาศัยความเข้าใจกันมากกว่าการใช้กฎระเบียบมาบังคับ







ขอบคุณข้อมูลจาก decha.com

HBD Google 27 September 2017 วันเกิดปีที่ 19 ของ Google

HBD Google 27 September 2017
วันเกิดปีที่ 19 ของ Google

[Sourcehttps://www.google.com/doodles/googles-19th-birthday]
  • 27 กันยายน ค.ศ. 2017

    วันเกิดปีที่ 19 ของ Google

  • They say life is full of surprises, and Google’s history is chock-full of them. In fact, we wouldn’t be here without them.
    In 1997, one of Google’s co-founders, Larry Page, had just arrived at Stanford University to pursue his P.h.D in computer science. Of all the students on campus, Google’s other co-founder, Sergey Brin, was randomly assigned to show Page around. This chance encounter was the happy surprise that started it all.
    From there, the two came together with a common goal in mind: to organize the world’s information and make it universally accessible and useful, a mantra that would go on to become Google’s mission statement. The two hunkered down in a garage - Google’s first office - and got to work.
    Billions of searches later, perhaps the happiest happenstance has been how Google has grown throughout the past 19 years. Named for the number “googol” (a 1 followed by one hundred zeroes), Google inches closer to its namesake each year, currently serving more than 4.5 billion users in 160 countries speaking 123 languages worldwide.
    Upon clicking today's Doodle, we invite you to explore 19 surprises we've launched over the past 19 years - including our brand new Search easter egg: Snake Game! So give it a spin and thanks for celebrating with us!

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนกำหนดวันสุดท้ายของการกราบถวายบังคมพระบรมศพ ถึง 5 ต.ค. 60


ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นมา นั้น และเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๔๖๐ สำนักพระราชวังได้มีประกาศ เรื่องการเข้ากราบถวายบังคม พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะขอเปิดให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นวันสุดท้าย เพื่อดำเนินการจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ให้เป็นไปด้วยความสมบูรณ์เรียบร้อย และสมพระเกียรติไปแล้วนั้น

     บัดนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตระหนักถึงความอาลัยรัก ความศรัทธา และความจงรักภักดีของประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่มีต่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้มุ่งมั่นที่จะเดินทางเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ สักครั้งหนึ่งในชีวิตของตนเองเพื่อความเป็นสิริมงคล ภายในห้วงระยะเวลาที่เหลืออยู่จากประกาศของสำนักพระราชวังที่ได้กำหนดไว้ ก่อนที่จะถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐

     ด้วยทรงซาบซึ้งในน้ำใจ ทรงห่วงใยว่าประชาชนจะมีโอกาสกราบถวายบังคมพระบรมศพได้ไม่ทั่วถึง และเพื่อพระราชทานขวัญและกำลังใจแก่ประชาชน ในการนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เลื่อนกำหนดวันสุดท้ายของการกราบถวายบังคมพระบรมศพ จากเดิมวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ออกไป เป็นถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ของคืนวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง

Source : JS100

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

คำขวัญประจำอำเภอในจังหวัดสุรินทร์ รวมคำขวัญทุกอำเภอในจังหวัดสุรินทร์ [คำขวัญ 17 อำเภอ จ.สุรินทร์]


คำขวัญประจำจังหวัดสุรินทร์ : สุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่  ผ้าไหมงาม ปะคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรมต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์ : ต้นมะค่าแต้
คำขวัญประจำอำเภอ คำขวัญ 17 อำเภอในจังหวัดสุรินทร์1. คำขวัญประจำอำเภอเมืองสุรินทร์ : อำเภอเมืองสุรินทร์ ถิ่นจักสาน อุทยานพนมสวาย รวมใจหลักเมือง ลือเลื่องผ้าไหม หย่อนใจห้วยเสนง ครื้นเครงกันตรึมดี ไหว้พระชีว์หลวงปู่ดุลย์
2. คำขวัญประจำอำเภอชุมพลบุรี : ชุมพลบุรี เขตทุ่งกุลา เมืองปลาไหล ผ้าไหมสวย รวยข้าวมะลิหอม งามพร้อมลำน้ำมูล
3. คำขวัญประจำอำเภอท่าตูม : ท่าตูม ถิ่นช้างใหญ่  ผ้าไหมเนื้อดี ประเพณีเรือยาว ข้าวหลามขึ้นชื่อ เลื่องลือทุ่งกุลา งามตาแม่น้ำมูล
4. คำขวัญประจำอำเภอจอมพระ : จอมพระเมืองเก่า เล่าลือปราสาทหิน ถิ่นงามวัฒนธรรม เลิศล้ำผ้าไหม สะอาดใสลำน้ำชี เกษตรอินทรีย์เป็นเลิศ ก่อเกิดข้าวหอมมะลิ
5. คำขวัญประจำอำเภอปราสาท : ปราสาทเด่นสง่า ประชาสามัคคี ชื่อดีนามกระเดื่อง รุ่งเรืองวัฒนธรรม
6. คำขวัญประจำอำเภอรัตนบุรี : รัตนบุรี เมืองพ่อศรีนครเตา พระเจ้าใหญ่วัดเหนือ งามเหลือพระโพธิ์ศรีธาตุ ใสสะอาดห้วยแก้ว เพริดแพร้วผ้าไหม ขนมจีนถูกใจ บุญบั้งไฟตระการตา ชาวประชาน้ำใจงาม
7. คำขวัญประจำอำเภอกาบเชิง : กาบเชิงถิ่นคนดี เฉลิมราชกุมารีศรีสง่า ปราสาทธรรมชาติล้ำค่า แหล่งการค้าที่ช่องจอม
8. คำขวัญประจำอำเภอสนม : ศาลปู่ตาคู่บ้าน ดอกจานงามตา ล้ำค่าผ้าพื้นเมือง เลื่องลือประเพณี มากมีภูมิปัญญา ชาวประชามีน้ำใจ
9. คำขวัญประจำอำเภอศีขรภูมิ : เมืองหลายภาษา หลากวัฒนธรรม ศิลปกรรมที่ล้ำลึก
10. คำขวัญประจำอำเภอสังขะ : สังขะเมืองสะอาด ปราสาทงดงาม ทับทิมสยาม 04 เขียวขจีป่าสน
11. คำขวัญประจำอำเภอลำดวน : ลำดวนสุรพินท์ ถิ่นผ้าไหมงาม ข้าวน้ำพร้อมพรัก อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี สามัคคีมีน้ำใจ
12. คำขวัญประจำอำเภอสำโรงทาบ : สำโรงทาบเขตราบลุ่ม ชุ่มชื่นธรรมชาติ เด่นผงาดไก่สามสายพันธุ์ อัศจรรย์เกษตรอินทรีย์ ข้าวหอมมะลิพันธุ์ดี มากมีหญิงงาม ลือนามอ่างเกาะแก้ว เพริศแพร้วริมห้วยกะเลา
13. คำขวัญประจำอำเภอบัวเชด : บัวเชดเขตธรรมชาติ ปราสาทค่าล้ำ งามถ้ำผาไทร ประทับใจเขาศาลา งดงามตาน้ำตกหลากหลาย ดื่มด่ำไวน์ผลไม้ป่า
14. คำขวัญประจำอำเภอพนมดงรัก : ปราสาทเก่า ทิวเขางาม อ่างน้ำใส ใฝ่วัฒนธรรม
15. คำขวัญประจำอำเภอศรีณรงค์ : ศรีณรงค์นามองค์เจ้าเมือง ถิ่นรุ่งเรืองไทยส่วย ลำห้วยสองสาย ยิ่งใหญ่บุญร่วมมิตร พืชเศรษฐกิจยางพารา
16. คำขวัญประจำอำเภอเขวาสินรินทร์ : เขวาสินรินทร์ ดินแดนหัตถกรรม เลิศล้ำภูมิปัญญา ตระการตาผ้าไหม ระบือไกลประคำสวย ร่ำรวยประเพณี มีปราสาทโบราณ สืบสานเพลงกันตรึม
17. คำขวัญประจำอำเภอโนนนารายณ์ : โนนนารายณ์เมืองคนดี ประเพณีตระการตา เกษตรอินทรีย์ก้าวหน้า ชาวประชางามน้ำใจ ข้าวสารหอมพร้อมผ้าไหม เทิดไท้ภูมิปัญญา ปราสาทขุมดินระบือตา ศาสนาเลื่องวัฒนธรรม
ที่มา : หนังสือบทเรียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น อำเภอโนนนารายณ์ หน้าที่ 56 เขียนโดย นายศักดิ์อนันต์ อนันตสุข
ขอบคุณภาพประกอบจาก : www.watisan.com

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

เตือนภัย!! โจรกรรมรถจักรยานยนต์

การโจรกรรมรถจักรยานยนต์ โดยใช้กุญแจผี สามารถโจรกรรมไปอย่างง่ายดาย 
ฉนั้น จอดรถทุกครั้งควรล็อคคอและล็อคดิสเบรคด้วย


ขอขอบคุณเจ้าของคลิปวีดีโอนี้ด้วยนะครับ

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

ระวังโรคใหม่ของเด็กไทย! ‘โรคไม่รู้จักความลำบาก อย่าปล่อยให้ลูกเป็น

ระวังโรคใหม่ของเด็กไทย! ‘โรคไม่รู้จักความลำบาก อย่าปล่อยให้ลูกเป็น

พ่อแม่รังแกฉัน ระวังโรคใหม่ของเด็ก “โรคไม่รู้จักความลำบาก” อย่าปล่อยให้ลูกเป็น
ระวังโรคใหม่ของเด็กไทย! ‘โรคไม่รู้จักความลำบาก‘ ถึงเวลาพ่อแม่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแล้ว
เคยสงสัยบ้างไหม..ว่าทำไม เด็กสมัยนี้ ไม่ค่อยอดทนกับสิ่งใด เลย แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิต ทุกวันนี้เราเห็นเด็กถือแต่สมาร์ทโฟน ไอแพดไว้เล่นเกม ครอบครัวเองก็เลี้ยงลูกตามใจ จึงทำให้เด็กไทยมีโรคใหม่ติดตัวที่ชื่อว่าโรคไม่รู้จักความลำบากบทความจาก FB Basic-Skill for young children พูดถึง “โรคไม่รู้จักความลำบาก” เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นสำหรับเด็กๆ และจะกลายเป็นปัญหาต่อการเติบโต หากพ่อแม่ไม่ได้เลือกสร้างภูมิคุ้มกันของความลำบากให้ลูก ไม่เลือกให้ลูกได้ออกไปพบเจอโลกของความจริงที่ว่า ชีวิตแม้ว่าจะรวยหรือจนก็ไม่มีใครสบายได้ตลอดไป ต้องมีความลำบาก ความทุกข์ เกิดขึ้นปะปนกัน โดยสาเหตุที่เด็กถึงเป็นโรคไม่รู้จักความลำบาก
1.มีเทคโนโลยีครอบงำ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันอย่างการใช้สมาร์ทโฟน แทปเล็ต ได้กลายมาเป็นสื่อที่มีบทบาทกับเด็ก ๆ ตั้งแต่ตัวเล็กในยุคดิจิตอล และมีอิทธิพลมากขึ้นกว่าในสมัยก่อน ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ หลายราคาที่จับต้องได้ ทำให้พ่อแม่ยุคใหม่หยิบยื่นให้ลูกใช้ง่าย ๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร และไม่พยายามปฏิเสธหรือเบี่ยงเบนความสนใจให้ลูกไปทำกิจกรรมอย่างอื่น
2.อยากให้ลูกสบายเป็นผลทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว
การมีพี่เลี้ยงไว้คอยดูแลลูกน้อย เพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่อันเหนื่อยหนักของพ่อแม่ โดยไม่ยอมสอนลูกให้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง จนลูกไม่สามารถทำอะไรเป็นได้ เมื่อเติบโตขึ้นในสังคม เช่น เริ่มต้นเข้าโรงเรียนก็จะกลายเป็นภาระให้กับบุคคลรอบข้างที่ต้องคอยช่วยเหลือ
3.ปกป้องลูกมากเกินไป
เพราะความกังวลเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับลูกรัก จึงไม่หาโอกาสพาลูกออกไปเปิดประสบการณ์ต่อโลกภายนอก และจำกัดที่ทางให้ลูกอยู่ภายใน comfort zone ยอมให้ลูกนั่งดูทีวี เปิดยูทูป เล่นเกมในไอแพด ซึ่งเป็นการปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้กับสังคมภายนอก และไม่รู้จักกับการแยกแยะความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนไม่ดี ขาดการสังเกตและเรียนรู้
4.ไม่ยอมปล่อยให้ลูกลำบาก เพราะพ่อแม่เคยลำบากมาก่อน
เพราะไม่อยากให้ลูกมีชีวิตเหมือนที่ตนเองเคยเป็นมาก่อน พอฐานะดีขึ้นจึงส่งเสริมและเลี้ยงลูกด้วยวัตถุ เงินทอง ฯลฯ เหล่านี้จะทำให้เด็กกลายเป็นคนขาดความอดทน ไม่มีความมั่นคงในจิตใจ อ่อนแอ และแข็งกระด้าง
5.การใช้ชีวิตติดรูปแบบจากอิทธิพลของสื่อ
ด้วยเทคโนโลยีที่เข้าถึงอย่างรวดเร็ว และมีการนำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดูสวยหรูผ่านสื่อทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หรือสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ มีการโชว์และแชร์ถ่ายภาพ อวดของหรู ชูของสวย ด้วยอิทธิพลของสื่อเองและการเลี้ยงลูกแบบตามใจมาก่อน ทำให้เด็กเกิดความอยากได้อยากมีตามกระแสสังคม
ดังนั้น การเลือกสอนให้ลูกรู้จักกับความลำบาก ฝึกลูกให้มีหน้าที่รับผิดชอบ รู้การแบ่งปัน การให้ และเรียนรู้ หรือพยายามทำด้วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็กย่อมเป็นสิ่งที่ดี
ที่มาบทความจาก FB Basic-Skill for young children

Most watched