วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

...เมื่อบาปล้างไม่ได้ แล้วคนเราควรทำอย่างไรกับบาปที่มีอยู่


เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ต้องเชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้เราทำแต่ความดี ละเว้นจากการกระทำชั่ว ละความอยากมี อยากเป็น จิตใจเราก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยากจะชำระก็ขอให้ชำระ "กิเลสตัณหา" ที่มีอยู่ในใจของเรา อย่าไปชำระบาป บาปนั้นชำระไม่ได้ ถ้าไม่อยากจะรับผลของบาป ก็อย่าไปทำเสียตั้งแต่วันนนี้

ส่วนผลของบาปในอดีตก็จะค่อยๆ แสดงออกมา แล้วจะค่อยๆ หมดไป เหมือนกับการใช้หนี้ เรามีหนี้ ถ้าเราไม่ไปสร้างหนี้ใหม่ หนี้เก่าเราก็ทยอยใช้คืนไปเรื่อยๆ ผ่อนไปทีละเดือน หนี้เก่าก็จะหมดไปเอง เช่นเดียวกับการทำบาปทำกรรมอยู่ หนี้สินใหม่ก็จะเพิ่มขึ้นอีก เวรใหม่ก็เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ....ถ้าไม่ต้องการรับผลบาปต่อไป ก็ต้องละเว้นจากการกระทำบาป

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ถ้าแบกไม่ไหวก็อย่าไปแบกมัน -พระไพศาล วิสาโล-

พระไพศาล วิสาโล เล่าไว้ในเรื่อง ดูแลใจให้ดี ดังนี้ :

เคยมีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งไปปรึกษาปัญหาชีวิตกับหลวงพ่อชา สุภัทโท สมัยนั้นราว ๔๐ ปีก่อนท่านยังไม่อาพาธ นายตำรวจคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก แต่ถูกกลั่นแกล้ง เจ้านายไม่ส่งเสริม เพื่อนร่วมงานขัดแข้งขัดขา นอกจากเลื่อยขาเก้าอี้ ยังเล่นงานข้างหลังเพราะไม่กินตามน้ำเหมือนคนอื่นเขา

เขากลุ้มใจมากก็มาระบายกับหลวงพ่อชา หลวงพ่อก็ฟังโดยไม่ได้ว่าอะไร ท่านปล่อยให้เขาพูดจนจบ เสร็จแล้วท่านก็ชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ที่อยู่ในลานหน้ากุฏิท่าน แล้วถามว่า "เห็นหินก้อนนั้นไหม”

“เห็นครับ”

“หินก้อนนั้นหนักไหม”

“หนักครับ”

“คุณแบกไหวไหม”

“แบกไม่ไหวครับ”

แล้วท่านก็บอกว่า “ถ้าไม่ไหวก็อย่าแบกมัน”

ได้ยินเพียงเท่านี้นายตำรวจคนนั้นก็ได้คิดเลยว่า ที่ตัวเองทุกข์ก็เพราะแบกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้นั่นเอง

เรื่องราวเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ตนเองเป็นทุกข์ได้หากไม่ไปแบกเอาไว้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาก ทำให้มีแรงทำงานต่อไป ปัญหาในที่ทำงานยังคงมีอยู่ แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว เพราะไม่ไปแบกมัน นายตำรวจคนนี้จึงรับราชการต่อจนเกษียณ

ที่มา :https://www.facebook.com/winlyovarin/

คนเราจะอยู่ในที่แห่งใดก็ตาม ควรทำอะไรทิ้งไว้บ้าง -ปัญญานันทภิกขุ-

คนบางคนอาจะคิดแต่เพียงว่า
ทำอะไรไป เราก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้
สมมติว่าจะปลูกต้นไม้ไว้สักต้นหนึ่ง
บางคนไม่ปลูก เพราะว่าปลูกทำไม
ไม่กี่วันก็ตายแล้ว ไม่ได้หรอก
เขาเรียกว่า ไม่ได้คิดถึงอนาคต
ไม่ได้คิดถึงคนอื่นที่จะเกิดตามมา

ทำอะไรไม่ใช่เพื่อเราคนเดียว
เราจะต้องนึกถึงคนอื่น
เช่นเราปลูกต้นไม้ใช่ไว้ สักต้นหนึ่ง
แม้เราจะไม่ได้นั่งร่มเงาของต้นไม้นั้น
แต่ว่าเมื่อมันโตขึ้นคนอื่นได้อาศัย
ได้รับความสะดวกสบาย

คนเราจะไปอยู่ในที่ใดก็ตาม
ก็ควรคิดไว้เสมอว่า ควรจะทำอะไรทิ้งไว้บ้าง
ไม่ใช่อยู่เอาแต่ประโยชน์แล้วก็ไม่ทำอะไร

คนบางคนมันก็เป็นอย่างนั้น
อยู่บ้านก็อยู่มันเรื่อยไป
เหมือนบ้านข้าราชการหลายแห่ง
อาตมาไปเที่ยวมา อยู่กันอย่างนั้น
ไม่เอาใจใส่ปัดกวาดบริเวณบ้านให้สะอาด
ไม่ตัดหญ้าไม่ปลูกต้นไม้
ไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้น
อยู่มันหญ้าคารกเกือบถึงใต้ถุนบ้าน
ไปเห็นเข้าแล้วนึกว่า เขาอยู่อย่างไร
ไม่เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนชาวบ้าน
แล้วก็บอกว่า ไม่กี่วันก็จะไปแล้ว
อยู่บ้านหลวงอย่างนั้นแหละ
นี่แหละคิดง่ายๆ สั้นๆ เท่านั้นเอง
เรียกว่า อยู่ไม่ใช่บ้านของเราเอง จะทำไปทำไม

หรือว่าเหมือนคนเช่าที่ดินเขาอยู่
ก็ปลูกบ้านอยู่ แต่ว่าจะปลูกบ้านอยู่
แต่ว่าจะปลูกมะม่วงต้นไม้ที่กินได้ไม่ปลูก
ถามว่า ทำไมไม่ปลูก ไม่ใช่ดินของผม
ปลูกแล้วผมก็ไม่ได้ใช้ นึกเอาง่ายๆ เท่านั้นเอง
แล้วไม่คิดว่า ที่ตัวอยู่นั้นอยู่อย่างไร
แล้วปลูกไว้ถึงเราไม่ได้กินคนอื่นเขาก็ได้กิน
หรือว่าเราอยู่ต่อไปเราก็ได้กินมันบ้าง
ไม่ได้กินก็ได้อาศัยร่มเงา ไม่ได้อาศัยร่มเงา
ก็ยังได้อาศัยออกซิเจนจากใบไม้
ที่มันพ่นออกมาในเวลากลางวัน
มันยังได้ทั้งนั้น...

ในทางศาสนาจึงสอนว่า
ให้ปลูกต้นไม้ ให้ปลูกศาลา
ให้ขุดสระ ให้ขุดบ่อ ที่สอนอย่างนั้น
ก็เพื่อให้ทำสิ่งที่เป็นสาธารณะ
ที่คนจะได้อาศัยเกิดความร่มความเย็นกันตามสมควรแก่ฐานะ

คนเราต้องคิดในเรื่องอย่างนี้ไว้
แล้วก็ทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์
เท่าที่สามารถจะกระทำได้
คนใดที่ไม่คิดจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้น
เรียกว่า เป็นคนเห็นแก่ตัว ยังไม่ดี
ยังไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
เราต้องหัดเสียสละ
ทำอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้
อื่นทุกโอกาสที่เราสามารถกระทำได้

ปัญญานันทภิกขุ

Most watched