สิ่งที่สุดของชีวิต
FW mail: สิ่งที่สุดของชีวิต
จาก:รจนา (torakhong)
สิ่งร่ำรวยที่สุดของชีวิต คือ สุขภาพที่แข็งแรง
บาปกรรมใหญ่หลวงที่สุดของชีวิต คือ ไม่กตัญญู
ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต คือ การทะนงตัว
ของกำนัลที่มีค่าที่สุดของชีวิต คือ การให้อภัย
ความชั่วช้าต่ำต้อยที่สุดของชีวิต คือ การข่มเหงผู้อื่น
การผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของชีวิต คือ เล่นการพนัน
การล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต คือ ความสิ้นหวัง
ความสุขมากที่สุดของชีวิต คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
การยอมรับและนับถือได้มากที่สุดของชีวิต คือ ความก้าวหน้า
คนเราสร้างแต่ความดี ถึงแม้ว่าลาภผลยังไม่ได้รับ
แต่สิ่งภัยวิบัตินั้นได้หลีกห่างไปไกล
คนเราทำแต่ความดี ถึงแม้กรรมชั่วยังไม่ได้ตอบสนอง
แต่ผลบุญนั้นได้หลีกห่างไปไกล
แด่ ชาวโลกทุกคน
วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552
คำสอนของหลวงตา (คนสามคน)
เก็บจากโทรโข่ง Credit : คุณกาแฟครึ่งถ้วย
...............................
คนสามคน
ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า “ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ”
หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า “เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ “
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา “คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยาก เป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ”
“มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้”
“อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนีทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร”
“สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบนั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล”
“แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ “ ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา
“เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ
ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม”
“เข้าใจครับหลวงตา” เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง
ที่มา http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=899
../ กาแฟครึ่งถ้วย ๒๓ ม.ค. ๒๕๕๒, ๐๙.๑๑ น.
...............................
คนสามคน
ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า “ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ”
หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า “เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ “
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา “คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยาก เป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ”
“มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้”
“อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนีทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร”
“สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบนั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล”
“แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ “ ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา
“เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ
ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม”
“เข้าใจครับหลวงตา” เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง
ที่มา http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=899
../ กาแฟครึ่งถ้วย ๒๓ ม.ค. ๒๕๕๒, ๐๙.๑๑ น.
วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552
เป็นกำลังใจให้นะ
Clickเข้าไปดูนะ..
(เปิดลำโพงด้วย)
http://en-light.com/V2/s/01_GoodWind.html
FW mail From : รุ่งนภา ฟรานซิส (น้องรุ่ง น่ารักมากๆ)
.... เอาเพลงเพราะๆมาฝาก อีกเพลงครับ
http://en-light.com/V2/s/01_Everything.html
(เปิดลำโพงด้วย)
http://en-light.com/V2/s/01_GoodWind.html
FW mail From : รุ่งนภา ฟรานซิส (น้องรุ่ง น่ารักมากๆ)
.... เอาเพลงเพราะๆมาฝาก อีกเพลงครับ
http://en-light.com/V2/s/01_Everything.html
วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552
คำเตือน สำหรับผู้ที่ชอบโพสรูปลง hi5 ต้องระวัง!!!!+++
+++คำเตือน สำหรับผู้ที่ชอบโพสรูปลง hi5 ต้องระวัง!!!!+++
เทคโนโลยี สมัยนี้อันตรายจริง ๆ ครับ ลงไปรูปเดียว แต่ผลที่ได้รับ มันมากมายมหาศาลยิ่งนัก ใครผู้ไหนคิดจะเล่น hi5 คิดดูให้ดีก่อนนะครับ ว่าผลดีกับผลเสียอันไหนมันมากกว่ากัน ไม่งั้นคุณจะเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพที่ชอบขโมยรูปภาพท่านไปทำมิดีมิร้าย ครับ
ถ้าคุณโพสรูปไปแบบนี้ ...
คุณอาจกลายเป็นแบทแมนเป็นโดราเอม่อน...
เทคโนโลยี สมัยนี้อันตรายจริง ๆ ครับ ลงไปรูปเดียว แต่ผลที่ได้รับ มันมากมายมหาศาลยิ่งนัก ใครผู้ไหนคิดจะเล่น hi5 คิดดูให้ดีก่อนนะครับ ว่าผลดีกับผลเสียอันไหนมันมากกว่ากัน ไม่งั้นคุณจะเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพที่ชอบขโมยรูปภาพท่านไปทำมิดีมิร้าย ครับ
ถ้าคุณโพสรูปไปแบบนี้ ...
คุณอาจกลายเป็นแบทแมนเป็นโดราเอม่อน...
แบงก์รีดลูกค้า! ขึ้นค่าดูแลบัญชี
ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. เป็นต้นไป
ธนาคารดาหน้ากินค่ารักษาบัญชีจากลูกค้า ล่าสุดธนาคารกรุงเทพประกาศใครทิ้งเงินฝากออมทรัพย์ไว้ต่ำ 2,000 บาท ไม่เคลื่อนไหว 1 ปี เสียเดือนละ 50 บาท นางรัชนี นพเมือง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. เป็นต้นไป ธนาคารจะเก็บค่ารักษาบัญชีจากลูกค้าเงินฝาก 50 บาท/เดือน กรณีบัญชีไม่เคลื่อนไหวเกิน 12 เดือน สำหรับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่มีเงินฝากต่ำกว่า 2,000 บาท
อัตราดังกล่าวเป็นการปรับจากเดิมที่กำหนดไว้ว่า หากลูกค้าทิ้งเงินไว้ต่ำกว่า 500 บาท ไม่เคลื่อนไหวเกินกว่า 12 เดือน จะเก็บ 50 บาทต่อเดือน "ธนาคารปรับขึ้นค่ารักษาบัญชีให้เท่ากับระบบ เพราะทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ต่างปรับเกณฑ์ขึ้นเป็น 2,000 บาทกันไปแล้ว ธนาคารกรุงเทพถือเป็นลำดับท้ายๆ ที่หันมาปรับเกณฑ์ขึ้นมา โดยถึงตอนนี้มีเพียงธนาคารกรุงไทยเท่านั้นที่ยังใช้เกณฑ์ 500 บาท แล้วคิดค่ารักษาบัญชีเดือนละ 50 บาทอยู่" นางรัชนี กล่าว นางรัชนี กล่าวว่า จุดประสงค์ของการปรับเกณฑ์เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามาเดินบัญชี เพราะธนาคารมีลูกค้าหลายล้านบัญชี หากลูกค้าทิ้งเงินไว้เฉยๆ จะกลายเป็นต้นทุน ทั้งต้นทุนด้านการพนักงาน และระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ "ถ้ามีเงินต่ำกว่า 2,000 บาท ก็ไม่ควรทิ้งไว้ในบัญชีออมทรัพย์เฉยๆ อยู่แล้ว แต่เราจะเก็บเฉพาะบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหวเกิน 1 ปี ถึงจะมีเงินเหลือ 3 บาทในบัญชี แต่มีความเคลื่อนไหว 1 ครั้ง ไม่ว่าจะฝาก ถอน โอน หรือบิลเพย์เมนต์ก็ไม่โดนเก็บ แบงก์จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือกรณีรับเงินเดือนผ่านแบงก์กรุงเทพ ก็ไม่โดนเก็บ เพราะมีเงินเข้าทุกเดือน" นางรัชนี กล่าว นางรัชนี กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารได้ติดประกาศเกณฑ์ใหม่ในทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่แจ้งลูกค้าให้รับทราบ แต่คงไม่สามารถส่งจดหมายแจ้งลูกค้ารายคนได้ เพราะฐานจำนวนลูกค้าใหญ่มาก พนักงานธนาคารกรุงเทพ แนะนำว่า หากจะทิ้งเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร ขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนมาเปิดบัญชีฝากประจำไว้ดีกว่า อาทิ ฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 12 เดือน เพราะเมื่อครบกำหนดฝาก นอกจากจะได้รับโอนดอกเบี้ย ธนาคารจะต่ออายุเงินฝากให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ถูกเก็บค่ารักษาบัญชี 50 บาท และบัญชีฝากประจำกำหนดการรับฝากขั้นต่ำไว้ที่ 2,000 บาท ด้านธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า ธนาคารยังไม่มีนโยบายปรับเกณฑ์ค่ารักษาบัญชีไม่เคลื่อนไหว ปัจจุบันยังใช้เกณฑ์เก็บค่าธรรมเนียมสำหรับยอดเงินคงเหลือต่ำกว่า 500 บาท ไม่เคลื่อนไหวเกิน 12 เดือน ขณะที่พนักงานธนาคารทหารไทย แจ้งว่า ได้ปรับเกณฑ์เก็บค่ารักษาบัญชีสำหรับยอดฝากต่ำกว่า 500 บาท เป็นต่ำกว่า 1,000 บาท ไปเมื่อกลางปี ยังไม่มีนโยบายจะปรับเป็น 2,000 บาทตามระบบ จากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบันเหลือเพียงธนาคารกรุงไทย นครหลวงไทย ธนชาต เกียรตินาคิน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ไทยเครดิต เอไอจี ที่คิด 50 บาทต่อเดือน หากมีเงินเหลือในบัญชี 500 บ
ธนาคารดาหน้ากินค่ารักษาบัญชีจากลูกค้า ล่าสุดธนาคารกรุงเทพประกาศใครทิ้งเงินฝากออมทรัพย์ไว้ต่ำ 2,000 บาท ไม่เคลื่อนไหว 1 ปี เสียเดือนละ 50 บาท นางรัชนี นพเมือง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. เป็นต้นไป ธนาคารจะเก็บค่ารักษาบัญชีจากลูกค้าเงินฝาก 50 บาท/เดือน กรณีบัญชีไม่เคลื่อนไหวเกิน 12 เดือน สำหรับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่มีเงินฝากต่ำกว่า 2,000 บาท
อัตราดังกล่าวเป็นการปรับจากเดิมที่กำหนดไว้ว่า หากลูกค้าทิ้งเงินไว้ต่ำกว่า 500 บาท ไม่เคลื่อนไหวเกินกว่า 12 เดือน จะเก็บ 50 บาทต่อเดือน "ธนาคารปรับขึ้นค่ารักษาบัญชีให้เท่ากับระบบ เพราะทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ต่างปรับเกณฑ์ขึ้นเป็น 2,000 บาทกันไปแล้ว ธนาคารกรุงเทพถือเป็นลำดับท้ายๆ ที่หันมาปรับเกณฑ์ขึ้นมา โดยถึงตอนนี้มีเพียงธนาคารกรุงไทยเท่านั้นที่ยังใช้เกณฑ์ 500 บาท แล้วคิดค่ารักษาบัญชีเดือนละ 50 บาทอยู่" นางรัชนี กล่าว นางรัชนี กล่าวว่า จุดประสงค์ของการปรับเกณฑ์เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามาเดินบัญชี เพราะธนาคารมีลูกค้าหลายล้านบัญชี หากลูกค้าทิ้งเงินไว้เฉยๆ จะกลายเป็นต้นทุน ทั้งต้นทุนด้านการพนักงาน และระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ "ถ้ามีเงินต่ำกว่า 2,000 บาท ก็ไม่ควรทิ้งไว้ในบัญชีออมทรัพย์เฉยๆ อยู่แล้ว แต่เราจะเก็บเฉพาะบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหวเกิน 1 ปี ถึงจะมีเงินเหลือ 3 บาทในบัญชี แต่มีความเคลื่อนไหว 1 ครั้ง ไม่ว่าจะฝาก ถอน โอน หรือบิลเพย์เมนต์ก็ไม่โดนเก็บ แบงก์จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือกรณีรับเงินเดือนผ่านแบงก์กรุงเทพ ก็ไม่โดนเก็บ เพราะมีเงินเข้าทุกเดือน" นางรัชนี กล่าว นางรัชนี กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารได้ติดประกาศเกณฑ์ใหม่ในทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่แจ้งลูกค้าให้รับทราบ แต่คงไม่สามารถส่งจดหมายแจ้งลูกค้ารายคนได้ เพราะฐานจำนวนลูกค้าใหญ่มาก พนักงานธนาคารกรุงเทพ แนะนำว่า หากจะทิ้งเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร ขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนมาเปิดบัญชีฝากประจำไว้ดีกว่า อาทิ ฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 12 เดือน เพราะเมื่อครบกำหนดฝาก นอกจากจะได้รับโอนดอกเบี้ย ธนาคารจะต่ออายุเงินฝากให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ถูกเก็บค่ารักษาบัญชี 50 บาท และบัญชีฝากประจำกำหนดการรับฝากขั้นต่ำไว้ที่ 2,000 บาท ด้านธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า ธนาคารยังไม่มีนโยบายปรับเกณฑ์ค่ารักษาบัญชีไม่เคลื่อนไหว ปัจจุบันยังใช้เกณฑ์เก็บค่าธรรมเนียมสำหรับยอดเงินคงเหลือต่ำกว่า 500 บาท ไม่เคลื่อนไหวเกิน 12 เดือน ขณะที่พนักงานธนาคารทหารไทย แจ้งว่า ได้ปรับเกณฑ์เก็บค่ารักษาบัญชีสำหรับยอดฝากต่ำกว่า 500 บาท เป็นต่ำกว่า 1,000 บาท ไปเมื่อกลางปี ยังไม่มีนโยบายจะปรับเป็น 2,000 บาทตามระบบ จากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบันเหลือเพียงธนาคารกรุงไทย นครหลวงไทย ธนชาต เกียรตินาคิน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ไทยเครดิต เอไอจี ที่คิด 50 บาทต่อเดือน หากมีเงินเหลือในบัญชี 500 บ
วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551
แม่หมาขี้เรื้อนกับคนใจดำ
แม่หมาขี้เรื้อนกับคนใจดำ
Credit:FW Mail Fromพี่กาแฟ Thanich Kafae
เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย
แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับแต่
แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)
เมื่อราว 15 ปีก่อนมีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป
ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง มันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย ๆ
เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่สม่ำเสมอแต่กรณีหมาขี้เรื้อน
แกบอกว่า ' กูกินไม่ลงว่ะ 'แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง
(สงสัยมีของ)มันมักจะไปหาของกินทีตลาด บางทีก็ได้ แต่บางทีก็ไม่ได้
คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป
แกเดือดทันทีครับ วิ่งตามไป คราวนี้ทันครับ เพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก
แกทุบไปทีเดียว หมานั่นล้มลงชักทันที
(แกบอกว่า หากตีตรงจุด แค่ไม้บรรทัดก็ตาย)
แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับ แต่จะทำกินตรงนั้น
กลับบ้านไปเตรียมของ ( แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน)
ให้ผมเฝ้าไว้(ยังเด็กอายุแค่ 12) ผมก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู
(ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย) มันไปจริงครับ หายวับไป
พี่ชิตแกโกรธมาก คงอยากเตะผมเต็มแก่
แต่ลุงผมแกเป็นนักเลงใหญ่ และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้ ก็ต้องวิ่ง
ตามอย่างเดียวพร้อมบ่น ' ทำไมมันไม่ตายวะ '
พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่า
แกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบาง
ตัวยังกินนมอยู่ บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก(เห็นกับตา) ที่มันยังไม่ยอมตาย เพราะ
ต้องกลับไปให้นมลูกแม้น้ำนมแห้งกรังเอาอาหารไปให้ลูกมันมันเรียกลูกๆ เพื่อให้นมให้อาหารเป็นครั้งสุดท้าย
แม่หมาพยายามอย่างดีที่สุดมันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายไม่
อยากเชื่อ นั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย พี่ชิตไม้หล่นลงกับพื้นเดินเข้าไปดูแม่
หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูกแกไม่พูดอะไร
ทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ สายตาอ่อนโยนลง
ลูกหมาตัวหนึ่ง วิ่งไปหาแก กระดิกหางให้แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า '
ขอโทษ ' พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย
เราช่วยกันฝังแม่หมาแกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ ทั้ง 5 ตัวตั้งแต่นั้นแกกลาย
เป็นคนใจดี ไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก ' มันอาจมีลูกรออยู่ก็ใด้ '
เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้งๆที่ไม่เคย
ทำ
พูดกับแม่ว่า' แม่ตอนผมอายุ 16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนได้ไหมครับ '
แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก
ไม่อยากเชื่อ แม่หมาขี้เรื้อนตายไป 1 ตัว
กลับทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไปขนาดนี้
Credit:FW Mail Fromพี่กาแฟ Thanich Kafae
เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย
แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับแต่
แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)
เมื่อราว 15 ปีก่อนมีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป
ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง มันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย ๆ
เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่สม่ำเสมอแต่กรณีหมาขี้เรื้อน
แกบอกว่า ' กูกินไม่ลงว่ะ 'แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง
(สงสัยมีของ)มันมักจะไปหาของกินทีตลาด บางทีก็ได้ แต่บางทีก็ไม่ได้
คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป
แกเดือดทันทีครับ วิ่งตามไป คราวนี้ทันครับ เพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก
แกทุบไปทีเดียว หมานั่นล้มลงชักทันที
(แกบอกว่า หากตีตรงจุด แค่ไม้บรรทัดก็ตาย)
แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับ แต่จะทำกินตรงนั้น
กลับบ้านไปเตรียมของ ( แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน)
ให้ผมเฝ้าไว้(ยังเด็กอายุแค่ 12) ผมก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู
(ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย) มันไปจริงครับ หายวับไป
พี่ชิตแกโกรธมาก คงอยากเตะผมเต็มแก่
แต่ลุงผมแกเป็นนักเลงใหญ่ และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้ ก็ต้องวิ่ง
ตามอย่างเดียวพร้อมบ่น ' ทำไมมันไม่ตายวะ '
พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่า
แกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบาง
ตัวยังกินนมอยู่ บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก(เห็นกับตา) ที่มันยังไม่ยอมตาย เพราะ
ต้องกลับไปให้นมลูกแม้น้ำนมแห้งกรังเอาอาหารไปให้ลูกมันมันเรียกลูกๆ เพื่อให้นมให้อาหารเป็นครั้งสุดท้าย
แม่หมาพยายามอย่างดีที่สุดมันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายไม่
อยากเชื่อ นั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย พี่ชิตไม้หล่นลงกับพื้นเดินเข้าไปดูแม่
หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูกแกไม่พูดอะไร
ทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ สายตาอ่อนโยนลง
ลูกหมาตัวหนึ่ง วิ่งไปหาแก กระดิกหางให้แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า '
ขอโทษ ' พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย
เราช่วยกันฝังแม่หมาแกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ ทั้ง 5 ตัวตั้งแต่นั้นแกกลาย
เป็นคนใจดี ไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก ' มันอาจมีลูกรออยู่ก็ใด้ '
เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้งๆที่ไม่เคย
ทำ
พูดกับแม่ว่า' แม่ตอนผมอายุ 16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนได้ไหมครับ '
แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก
ไม่อยากเชื่อ แม่หมาขี้เรื้อนตายไป 1 ตัว
กลับทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไปขนาดนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Most watched
-
พระครูธรรมรัตนาภิรม นามเดิม ลุน ระยับศรี เกิดวันพุทธ ที่23สิงหาคม2493 ณ บ้านหนองคูขาม ต.หนองเชียง ทูน อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ บิดาชื่...
-
ไม่มีนกตัวไหน "บิน" ได้ตลอดไป และไม่มีนกตัวไหน "เกาะกิ่งไม้" ได้ตลอดเวลา ชีวิต...มีจังหวะก้าวเดินขอ งมัน หย...
-
UPDATE : JULY 21 2017 ประธาน พระอาจารย์ ธงชัย จูมแก้ว หลวงพี่มานิตย์ ยอดจันทร์ คุณครูมาลี ชุมนุม รองประธาน 1.คุณเรียม (วันฤดี บุญ...
-
ตอกโค๊ตท้าวเวสสุวรรณ หลวงพ่อลุน สุภาจาโร °°°°°°°°°°°°°°° ตัวเหวินเทียนหวัง (ท้าวเวสวัณ) ศิลปะจีน ตราประจำ จ...
-
คำศัพท์ภาษาอังกฤษวันนี้ flips the bird ..ha ha จำไว้ฝรั่งด่าจะได้รู้ 30 days in prison for contempt of court...Fair in my opinion ดูห...