วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คำพูดสุดท้ายจากสตีฟ จอบส์

เผยคำพูดสุดท้ายจากสตีฟ จ็อบส์ เรื่องน่าคิดชีวิตคนทำงาน!

ผมประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านธุรกิจ หรืออาจกล่าวว่าชีวิตผมเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของความสำเร็จ

แต่นอกจากการทำงานแล้ว ผมไม่ได้มีความสุขนัก เพราะในที่สุด ความร่ำรวยก็กลายเป็นสิ่งเดียวที่ผมมี
.
ในขณะนี้ ผมกำลังนอนป่วยอยู่บนเตียงและพยามยามรำลึกถึงชีวิตของผมที่ผ่านมา ผมพบว่าความร่ำรวยที่ผมเคยภูมิใจ กลับไม่มีค่าอะไรเลยในช่วงสุดท้ายที่ผมกำลังจะตาย
.
ในความมืด ผมมองเห็นเพียงแสงสีเขียวและเสียงของเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว
.
ตอนนี้ผมเพิ่งตระหนักว่า เมื่อเราร่ำรวยพอแล้ว เราควรหันไปใส่ใจกับเรื่องอื่นๆ บ้าง
ซึ่งอาจเป็นสิ่งอื่นๆที่สำคัญ เช่น งานศิลป ที่เราเคยใฝ่ฝันในตอนเด็กๆ
.
การไม่ยอมหยุดสร้างความร่ำรวย จะทำให้ต้องมีชีวิตเหมือนที่ผมเป็น
.
พระเจ้าได้มอบความรักไว้ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน ซึ่งไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงิน
เมื่อผมตาย ผมเอาความร่ำรวยไปด้วยไม่ได้ สิ่งที่ผมจะนำติดตัวไปคือความทรงจำเกี่ยวกับความรักเท่านั้น ซึ่งเป็นความร่ำรวยที่แท้จริงและจะเป็นแสงนำทางให้กับเราต่อไป
ความรักจะติดตามเราไปได้ทุกที่ เพราะมันอยู่ในหัวใจและในมือของเราเอง
.
เตียงที่แพงที่สุดในโลกก็คือเตียงผู้ป่วย
คุณสามารถจ้างคนมาขับรถให้ มาทำงานหาเงินให้ แต่ไม่มีใครมาป่วยแทนคุณได้
สิ่งของใดๆ ที่หายไป เราอาจหาพบได้ แต่เราเอาชีวิตที่เสียไปกลับคืนมาไม่ได้
เมื่อเราเข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัด เราจะตระหนักได้ว่า เราใส่ใจสุขภาพของตัวเองน้อยเกินไป
แต่เรามักจะรู้ตัวเมื่อสายเกินไปเสมอ
จงให้ความรักกับครอบครัว กับคนรัก และเพื่อนๆ หมั่นดูแลสุขภาพของตัวเองและใส่ใจคนรอบข้างให้มากๆ
.
สิ่งที่พิสูจน์แล้ว เงิน เวลา สุขภาพ
สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด
เวลา และเงิน คือสิ่งสำคัญรองลงมา
.
ข้อมูลจาก http://www.naarn.com/11901/
.
☆☆☆☆☆☆


ข่าวลวงบนเฟซบุ๊ค ปัญหาเรื้อรังที่รอวันแก้ใข

กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันใหญ่โตเมื่อไม่นานนี้ กับกรณีของ Facebook ที่กลายเป็นเป้าโจมตีของหลายฝักหลายฝ่ายที่เชื่อว่าบน News Feed มีการแสดง “ข่าวลวง” ของการเลือกตั้ง จนมีผลทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องพลิกล็อคถล่มทลายด้วยชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” เหนือฮิลลารี คลินตัน ซึ่งประเด็นดังกล่าวถูกชี้แจงโดย Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook ที่ออกมายอมรับเองว่ามีการปล่อยข่าวลวงจริง แต่แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของผู้ใช้กว่าพันล้านคนเท่านั้นเอง … พร้อมรับปากว่าจะหาวิธีจัดการข่าวลวงให้ได้ ซึ่งหากมองในความเป็นจริงจะสามารถทำได้จริงหรือ ?

เราไม่ต้องไปมองไกลถึงอเมริกาครับ มองง่ายๆ ที่ประเทศไทย เชื่อว่าคนใช้ Facebook ในบ้านเรามีจำนวนมากและจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากนับรวมบรรดาแฟนเพจอีกหลากหลายประเภทด้วยแล้วก็ต้องยอมรับครับว่าบัญชีผู้ใช้ Facebook ในไทยมีเยอะมากๆ ด้วยความเป็นพื้นที่ที่เปิดให้บริการฟรี !! โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้ใครๆ ก็สามารถสร้างบัญชีส่วนตัวได้ สามารถเปิดแฟนเพจเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับการทำธุรกิจ เป็นพื้นที่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวสารพัดสิ่งอย่างได้ และยิ่งในยุคนี้ Facebook ได้กลายเป็นพื้นที่ใหม่ที่สื่อมวลชนนำมาใช้เพื่อนำเสนอข่าวสารต่างๆ นอกเหนือจากสื่อเดิม อาทิ ทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์
ด้วยความง่าย ในการสร้างบัญชี Facebook ทำให้ผู้คนบางกลุ่มสามารถใช้พื้นที่เพื่อสร้าง “ข่าวลวง” ซึ่งจุดประสงค์ของการกระทำดังกล่าวไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด อาจเกิดจากความต้องการยอด Like ยอดคลิกให้กับเว็บไซต์ ต้องการบิดเบือนความจริง สร้างทัศนคติที่ไม่ดีให้กับผู้อ่าน และที่ร้ายกาจที่สุด คือการสร้างความเกลียดชังให้กับตัวบุคคล โดยที่บุคคลนั้นอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวใดๆ เลยก็เป็นได้ ดังเช่น ข่าวลวงเมื่อเร็วๆ นี้ที่มีการโพสต์ข้อความว่า “มีพนักงาน KFC ใช้เท้าหมักปีกไก่ ก่อนนำไปทอด” แถมมีการนำหน้าของพนักงาน KFC ชายรายหนึ่งมาแสดงให้เห็นด้วย แต่สุดท้ายเมื่อมีการตรวจสอบพบกว่าข่าวดังกล่าวเป็น “เรื่องหลอกหลวง” และผู้ชายที่ถูกนำใบหน้าไปแอบอ้างก็ได้ออกมาชี้แจงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง (สามารถค้นหาได้จากแฟนเพจ Drama-addict)
กรณีดังกล่าวพบว่ามีการสร้างเว็บไซต์ปลอมขึ้นมา โดยชื่อเว็บมีความคล้ายกับชื่อของสำนักข่าวชื่อดังของเมืองไทยรายหนึ่ง และที่น่าเศร้าใจ คือ ผู้ใช้ Facebook บางรายกลับหลงเชื่อ มีการกด Like กดแชร์ พร้อมคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นาๆ ซึ่งส่วนหนึ่งของที่ทำให้ข่าวลวงเกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วก็ต้องยอมรับครับว่าด้วยปริมาณข้อมูลมหาศาลที่แสดงอยู่บน News Feed มีผลต่อ “สมาธิ” ของผู้ใช้ การพาดหัวข่าวให้ดูแรง มีภาพประกอบที่ดึงดูด สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้ รวมถึงเรื่องราวบางอย่างมีผลต่อความรู้สึก ตอบสนองต่อความคิดที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ จนทำให้ข่าวลวงมีการกด Like กดแชร์ อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการตรวจสอบที่มาที่ไปแต่อย่างใด

Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook
สถานการณ์ของข่าวลวงที่กำลังเป็นปัญหาของ Facebook ทำให้เกิดคำถามถึง Mark Zuckerberg ว่าจะมีวิธีการกำจัดข่าวลวงนี้ได้อย่างไร ? เพราะหากมองในความเป็นจริงแล้วจะพบว่าประชากรหลายพันล้านคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตและ Facebook ได้ สามารถสร้างบัญชี กำหนดชื่อ สร้างโปรไฟล์ขึ้นเอง ก่อให้เกิดการสร้างเรื่องราวที่ไม่เป็นจริงจากกลุ่มบุคคลที่แอบแฝงจุดประสงค์ร้ายได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ Facebook ทำได้ในเวลานี้ คือ การขอความร่วมมือให้ผู้ใช้ช่วยกันสังเกต ตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฏบน News Feed ให้มากขึ้นพร้อม “รายงานปัญหาโพสต์” (Report post) แถบเครื่องมือที่จะปรากฏอยู่ทุกโพสต์ เพื่อรายงานโพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวลวงไปยัง Facebook ขณะที่การคิดค้นอัลกอริธึมใหม่เพื่อนำมาใช้ตรวจสอบและกำจัดข่าวลวงคงไม่ง่ายนักที่จะทำให้เกิดขึ้นภายใน 1-2 วัน หาก Facebook ไม่สามารถคิดหาวิธีได้เอง การขอความร่วมมือจากบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นก็นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนก็คงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ Mark Zuckerberg
เราในฐานะคนใช้ Facebook ทำอะไรได้บ้าง
ถึงตอนนี้คงบอกไม่ได้หรอกครับว่า ข่าวลวงจะมีมาเมื่อไหร่ จะมากับเรื่องใดที่ทำให้คนหลงเชื่อ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้นหรือปรากฏบน News Feed สิ่งที่เราในฐานะผู้ใช้ Facebook ทำได้ คือ การใช้วิจารณญาณ สังเกตการพาดหัวข้อข่าว ลิงค์ที่นำมาโพสต์ให้มากขึ้น ใช้เวลาเพิ่มอีกนิดก่อนกด Like กดแชร์ หากลังเลว่าข้อมูลที่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ลองเช็คตามแฟนเพจของสำนักข่าวต่างๆ ว่ามีการนำเสนอข่าวนั้นหรือไม่ หากพบว่าเป็นข่าวลวงสามารถ “รายงานปัญหาโพสต์” (Report post) แจ้งไปยัง Facebook ได้ทันที แม้อาจจะต้องใช้เวลานานกว่า Facebook จะจัดการปัญหา แต่อย่างน้อยๆ การเริ่มต้นคนละไม้ คนละมือ ย่อมมีพลังมากกว่าเครื่องมือใดๆ เป็นไหนๆ ครับ

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวโดย 
Source : www.aripfan.com

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เตรียมเปิดเส้นทางเฟอร์รี่พัทยา-หัวหิน 12 ม.ค.60 นี้

เตรียมเปิดเส้นทางเฟอร์รี่พัทยา-หัวหิน 12 ม.ค.60 นี้ หลังอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบความปลอดภัยของตัวเรือ โดยจะนำเรือกันตามารัน นำเข้าจากประเทศจีน มาวิ่งเส้น

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/821793




วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Adapt or die

จุดหนึ่งของทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่เข้าใจผิดกันอย่างมโหฬารก็คือความเชื่อว่า “สัตว์แข็งแรงกว่าจะอยู่รอด สัตว์อ่อนแอกว่าจะสูญพันธุ์”

นี่เป็นจุดที่หลายคนรู้สึกว่า ‘รับไม่ได้’ เพราะชอบนำมาเปรียบเทียบกับคนว่า ผู้ที่แข็งแรงกว่าเอาเปรียบผู้อ่อนแอกว่า ซึ่งเป็นคนละประเด็นและคนละสาระกับทฤษฎีวิวัฒนาการโดยสิ้นเชิง

ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ได้พูดถึงความแข็งแรง-อ่อนแอ ไดโนเสาร์ซึ่งแข็งแรงกว่าสัตว์อีกจำนวนมากมาย สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว สัตว์ที่อ่อนแอกว่าเช่น แมลงสาบ มด ยุง ยังอยู่ดีกินดีจนทุกวันนี้

ถ้าไม่ใช่ความแข็งแรง แล้วเป็นเรื่องอะไร?

กฎของดาร์วินมีความหมายตามชื่อ Natural Selection แปลว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติ พูดง่ายๆ คือ ธรรมชาติเป็นกรรมการตัดสินชะตาชีวิตของสัตว์โลก กติกาคือใครรอดก็ชนะ

สมมุติว่าโลกเป็นเวทีมวย สัตว์ต่างๆ คือนักมวย นักมวยบนเวทีไม่จำเป็นต้องชกเก่งจึงชนะ แต่ผู้ที่อยู่ครบสิบห้ายกคือพวกที่ทำอะไรก็ได้ไม่ให้ถูกชกหรือถูกชกน้อยที่สุด อาจโดยการหลบ หลีก หนี อาจชกทีเผลอ ชกใต้เข็มขัด อาจแปลงโฉมตัวเองให้กลมกลืนกับเวทีจนสัตว์อื่นมองไม่เห็น หรือสร้างกลไกป้องกันการถูกทำร้าย ฯลฯ

‘กรรมการ’ คัดเลือก ‘ผู้ชนะ’ ของมันง่ายๆ คือ สัตว์ที่ปรับตัวได้ดีกว่ามีโอกาสอยู่รอดมากกว่าสัตว์ที่ปรับตัวไม่ได้

ดังนั้นสัตว์แข็งแรง กล้ามเนื้อหนาปึ๊ก เขี้ยวยาวสองศอก ตีนหนาเท่ารถถัง ถ้าปรับตัวไม่ได้ ก็ตายจากไป

นี่ก็เป็นจุดที่หลายคนรู้สึกว่า ‘รับไม่ได้’ เช่นกัน เพราะไม่ชอบใจว่าสัตว์ที่กะล่อนเอาเปรียบสัตว์อื่นเป็นผู้ชนะ

แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ใช่ระบบศีลธรรม มันเพียงชี้ให้เห็นว่าธรรมชาติทำงานอย่างไร

ความยุติธรรม ความดี เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์นำมาใช้เป็นมาตรตัดสินทุกอย่าง แต่ธรรมชาติไม่มีความดีกับความเลว ไม่มีความยุติธรรมกับอยุติธรรม มันเป็นของมันอย่างนี้เอง

A-D

Adapt or die

แข็งแรงไม่ได้แปลว่าตายไม่ได้ ใหญ่ไม่ได้แปลว่าล้มไม่ได้

สัจธรรมนี้ใช้อธิบายชีวิตทั้งหลายในธรรมชาติ ธุรกิจ ไปจนถึงวิธีการใช้ชีวิตของเรา

องค์กรใหญ่แข็งแรง ทุนมหาศาลในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าปรับตัวไม่ได้ ก็ล้มได้ และล้มเสมอมา

A-D

Adapt or decay

ระบบการศึกษาก็ต้องปรับตัว ปรับตัวไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงของโลก ก็ A-D

Adapt or decline

คู่แต่งงานที่ไม่ปรับตัวเข้าหากันหรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภายนอก ก็อาจต้อง A-D

Adapt or divorce

หลายอาชีพก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เพราะสภาพสังคม สภาพโลกเปลี่ยนไปตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่นนักเขียน ถ้าปรับตัวไม่ได้ ก็ต้องเจอ A-D เหมือนกัน

Aod Dak (อดแดก)

……………….

ขอขอบคุณบทความโดย: วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/winlyovarin/


Most watched